เปลี่ยนงานทั้งที เรียกเงินเดือนเพิ่มเท่าไหร่ดี?
ในการเปลี่ยนงานนั้น อาจจะมีรูปแบบของการเปลี่ยนงานแตกต่างกันไป แล้วแต่ปัจจัยของแต่ละคนว่า สถานการณ์ตอนนั้น ต้องการเปลี่ยนงานเพราะอะไร และมันก็จะเกี่ยวข้องกับช่วงอายุของแต่ละคนด้วยว่า การเปลี่ยนงานของแต่ละคนในช่วงอายุที่แตกต่างกัน ก็จะมีเหตุผลที่แตกต่างไปเช่นกัน

1.การเปลี่ยนงานในตำแหน่งเดิมไปบริษัทที่เล็กกว่า
การเปลี่ยนงานในตำแหน่งเดิมแต่ย้ายไปอยู่บริษัทใหม่ที่เล็กกว่า ลักษณะการเปลี่ยนงานแบบนี้ น่าจะเป็นเสมือนการโปรโมทอย่างหนึ่ง เพราะจากบริษัทใหญ่ไปบริษัทเล็ก แน่นอนที่สุด เราย่อมได้มีตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้นในองค์กรใหม่ และผลตอบแทนก็คงจะต้องได้มากขึ้น เนื่องจากเราอยู่บริษัทใหญ่แล้วไปบริษัทเล็ก เขาต้องจ่ายให้เราแพงขึ้น เพื่อดึงให้เราไปร่วมงานกับเขา และได้รับตำแหน่งที่ถือว่า เป็นตำแหน่งที่ใหญ่ในองค์กรเล็กอันนั้นที่มีอยู่ แต่สิ่งที่น่ากังวล ก็คือ การไปทำงานในบริษัทที่เล็กลงแม้จะได้เงินเดือนมากขึ้น ก็ต้องพิจารณาถึงความมั่นคงในระยะยาวด้วยว่า จะมั่นคงแค่ไหน รวมไปถึงโอกาสที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่ดีขึ้นในองค์กรเล็กๆ นั้น ย่อมมีน้อยกว่าการที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่ดีในองค์กรใหญ่ๆ ด้วยเหตุปัจจัยของงบประมาณในการฝึกอบรม และงบประมาณต่างๆ ที่เกี่ยวกับสวัสดิการ
ดังนั้น การขอเงินเดือนในลักษณะของการย้ายงานในตำแหน่งเดิมจากบริษัทใหญ่เป็นตำแหน่งเป็นตำแหน่งเดิมในบริษัทที่เล็กลง จึงควรต้องเรียกเงินเดือนมากขึ้นอย่างน้อย 30% เป็นอย่างต่ำเหตุผลเพราะว่า การทำงานที่นี่ 2 ปีจะทำให้เรามีรายได้เทียบกับการทำงานที่เก่า 3 ปี หากเกิดเหตุอะไรขึ้นมาหลังจาก 2 ปีไปแล้ว เกิดความผิดพลาดทำให้เราต้องตกงาน อย่างน้อยเราก็จะมีเงินเก็บ 1 ปีสำหรับการรองานใหม่ในปีที่ 3 ได้

2.การเปลี่ยนงานในตำแหน่งเดิมไปบริษัทที่ใหญ่กว่า
การเปลี่ยนงานในตำแหน่งเดิมแต่ย้ายไปอยู่บริษัทใหม่ที่ใหญ่กว่า การเปลี่ยนงานในลักษณะนี้ อาจจะได้เงินเดือนขึ้นไม่เยอะมากนัก ถ้าหากว่าเราไม่ได้โดดเด่นจริงๆ เพราะถือว่า การเปลี่ยนจากบริษัทเล็กไปเป็นบริษัทใหญ่นั้น เราก็ได้สิ่งที่ดีกว่าแล้วในแง่ของความมั่นคงของการทำงานหรือสวัสดิการที่ดีขึ้น ดังนั้น ส่วนใหญ่แล้วบริษัทที่จะรับเราเข้าไปทำงาน ถ้าเขามองว่าเป็นบริษัทที่ใหญ่กว่าบริษัทเดิม เขาก็มองว่าเป็นการโปรโมชั่นอย่างหนึ่งของเราไปแล้ว อาจจะมีการขอเงินเดือนขึ้น 15% ซึ่งก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าสนใจแล้ว เทียบกับสวัสดิการ ความมั่นคง ความก้าวหน้าและโอกาสที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มเติมในอนาคต รวมๆ แล้ว ถ้าตีเป็นตัวเลข ก็อาจจะอยู่ในช่วง 30% เช่นกัน แต่เป็นตัวเงินจริงๆ แค่ 15%
การทำงานในบริษัทใหญ่ สิ่งหนึ่งที่เป็นประโยชน์ที่เห็นได้ชัด ก็คือ การได้ Reference ที่ดีจากการผ่านงานบริษัทที่มีระบบการทำงานที่ดี มีชื่อเสียงที่ดี ซึ่งจะเป็นต้นทุนที่ดีของเราในการที่จะย้ายงานต่อไปในอนาคต ซึ่งอาจจะเป็นการย้ายงานจากบริษัทใหญ่ ลงไปเป็นบริษัทเล็กเพื่อให้ได้เงินเดือนมากขึ้น หรือการย้ายงานจากบริษัทที่ใหญ่ขึ้นกว่าบริษัทปัจจุบันที่เราอยู่ และได้เงินเดือนมากขึ้น เนื่องจากเป็นการย้ายงานจากบริษัทใหญ่อันหนึ่งไปสู่บริษัทที่ใหญ่กว่า แต่อยู่ในระดับที่ถือว่าเป็นบริษัทใหญ่ที่มีสวัสดิการที่ดี มีระบบงานที่ดี มีการเรียนรู้การอบรมที่ดี ซึ่งตรงนี้จะเป็นเหมือนแต้มต่อหรือต้นทุนที่เราสะสมไว้ในก้าวต่อไปที่จะเปลี่ยนงานไปข้างหน้าและสามารถขอเงินเดือนได้มากขึ้นใน Step ต่อไปแต่ไม่ใช่ในการเป็นงานครั้งนี้

3.การเปลี่ยนงานในตำแหน่งเดิมไปสู่ธุรกิจใหม่
การเปลี่ยนสายงานในตำแหน่งเดิมในธุรกิจเดิมไปสู่การเปลี่ยนสายงานในตำแหน่งเดิมในธุรกิจใหม่ เช่น การเปลี่ยนสายงานจากเดิม เป็นผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของธุรกิจขายสินค้าทั่วไป ไปเป็นผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในธุรกิจใหม่ เช่น ธุรกิจขนส่ง ซึ่งอันนี้จะเป็นการเปลี่ยนงานที่มีความเสี่ยงอยู่แค่ในมิติเดียว คือทำงานในตำแหน่งเดิมที่มีความเชี่ยวชาญในลักษณะของงานอยู่แล้ว เพียงแต่เปลี่ยนลักษณะของธุรกิจจากการขายสินค้าทั่วไปไปเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับการขนส่ง ซึ่งอาจจะมีรายละเอียดของเนื้องานที่แตกต่างกัน แต่หลักการในการทำงานหรือแนวทางในการทำงานบนพื้นฐานของตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อนั้น คงไม่มีความแตกต่างกันมากซึ่งการเปลี่ยนงานในลักษณะนี้สามารถจะได้เงินเดือนขึ้นได้ระดับหนึ่ง แต่อาจจะไม่ได้มากนัก เนื่องจากว่าถูกมองว่าเป็นการเปลี่ยนแค่สายธุรกิจ แต่ลักษณะการทำงานก็ไม่แตกต่างจากเดิม แค่ศึกษาเพิ่มเติมรายละเอียดใหม่ๆ ของเนื้องานใหม่ๆ ในธุรกิจใหม่ๆ เท่านั้นเอง
ดังนั้น การขอเงินเดือนในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ น่าจะได้ที่ประมาณ 15-20% ที่มีความเป็นไปได้และน่าจะเหมาะสม แต่สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ในระยะยาว คือธุรกิจใหม่ที่เราย้ายไปนั้น เราต้องวางแผนแล้วว่า เมื่อเราจะเปลี่ยนงานอีกครั้งหนึ่งในอนาคต คงต้องวิ่งไปสู่ธุรกิจแนวนี้เท่านั้น แต่เข้าไปสู่ในบริษัทที่ใหญ่ขึ้น เช่น เราย้ายงานไปในสู่สายธุรกิจใหม่ที่เป็นเกี่ยวกับการขนส่ง เมื่อเราทำไปช่วงเวลาหนึ่ง ในการเปลียนงานครั้งต่อไป เราจะต้องไปในสายที่เป็นธุรกิจขนส่งเท่านั้น แต่เป็นบริษัทที่ใหญ่ขึ้น เพื่อให้การอัพเงินเดือนหรือเรียกค่าตัว จะทำได้ง่ายขึ้น เนื่องจาก เป็นการเปลียนงานที่ต่อเนื่องในสายธุรกิจ
แต่หากเราย้อนกลับไปในงานอื่นอีกครั้งหนึ่ง อาจจะทำให้ค่าตัวเราลดลง หรือเกิดความไม่มั่นใจที่จะจ้างงาน เพราะเขาจะมองว่า เราไม่มีประสบการณ์ต่อเนื่องในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างชัดเจนยาวนานเพียงแค่ทำงานในตำแหน่งงานนั้นได้ แต่รายละเอียดของงาน ความลึกซึ้งหรือความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในธุรกิจนั้นๆ มันไม่ยาวนานพอ จึงทำให้การเรียกค่าตัวหรือการเรียกเงินเดือนเพิ่ม อาจจะไม่ทำให้เขาเกิดความสนใจหรืออยากได้เราไปทำงานอย่างแท้จริง ดังนั้น การเปลี่ยนงานในเงื่อนไขนี้ จึงต้องมีความชัดเจนว่า หลังจากนี้ไป เราจะยืนยาวในธุรกิจไหนกันแน่และการเปลี่ยนงานครั้งนี้ เป็นเหมือนเปิดประตูบานแรกเพื่อจะสู่ประตูบานที่ 4, 5, 6 ในระยะยาว จึงต้องวางแผนและคิดให้ดีว่า ปลายทางชีวิตเราจะเกษียณในธุรกิจใดกันแน่ แล้วเดินตรงไปจนสุดทาง หลังจากนี้ไปไม่เปลี่ยนแปลงอีกแล้ว

4.การเปลี่ยนสายงาน
การเปลี่ยนงานในตำแหน่งเดิมแต่เปลี่ยนสายงานไปอย่างชัดเจน เช่น เคยเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ในธุรกิจเดิม และไปเป็นผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ในธุรกิจใหม่ ซึ่งไม่เหมือนเดิมเลย เรียกได้ว่า เป็นความท้าทายในการเปลี่ยนงานมาก เนื่องจาก เป็นการเปลี่ยนทั้งบริษัทและเปลี่ยนทั้งสายงาน นั่นหมายความว่า เราต้องมั่นใจว่า เรามีความสามารถที่จะข้ามสายงานไปทำในสิ่งใหม่ได้อย่างแน่นอน และทางบริษัทผู้จ้างเอง ก็คาดหวังว่า ความสามารถที่เรามีอยู่ เพียงแค่เปลี่ยนสายงาน แต่ทักษะหรือความรู้ความสามารถที่เรามีอยู่ น่าจะนำไปประยุกต์ใช้ในสายงานใหม่ของเขาได้ ตามที่เขาต้องการ นั่นหมายถึง เขามองเห็นศักยภาพในตัวเราที่เหนือกว่าคนที่เปลี่ยนงานในสายงานเดิมในธุรกิจเดิม แต่สาเหตุ ที่เขาจะเลือกเราจากการเปลี่ยนสายงานจากเดิมมาเป็นสายงานใหม่จากบริษัทเดิมมาเป็นบริษัทใหม่ แสดงว่า เขาต้องมั่นใจในศักยภาพของเราอย่างแท้จริง ซึ่งจังหวะนี้ จะเป็นทั้งสิ่งที่ดีและเป็นความเสี่ยงสูงสุด
สิ่งที่ดี คือเราสามารถที่จะเรียกเงินเดือนได้มากๆ เลยอาจจะได้ถึง 30 ถึง 50% ในการเปลี่ยนงานแต่สิ่งที่เป็นความเสี่ยงสูงเช่นกัน เมื่อเรียกเงินเดือนที่สูงขึ้น ความคาดหวังก็สูงขึ้นเช่นกัน หากเราทำได้เราก็จะประสบความสำเร็จและมีความสำคัญในองค์กรใหม่ทันที แต่หากเราทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ นั่นหมายความว่า เรามีโอกาสที่ตกงานสูงเช่นกัน
ดังนั้น หากต้องการเปลี่ยนงานในเงื่อนไขนี้ จึงควรเรียกเงินเดือนในการเปลี่ยนงานไม่ต่ำกว่า 30% หากเป็นไปได้ให้ควรขอถึง 50% หมายความว่า ถ้าเราทำงานที่นี่ 2 ปีแล้วเราเก็บเงินไว้ เราอาจจะมีโอกาสตกงานได้ถึงอีก 2 ปีหากกรณี 2 ปีแรกเราผ่านไปไม่ได้ เราก็จะมีเงินไว้สำหรับรองรับการตกงานได้ถึง 2 ปี เนื่องจากเราเปลี่ยนสายงานข้ามมาอย่างชัดเจนจากสายงานเดิมมาเป็นสายงานใหม่ ดังนั้น การจะกลับไปหางานอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะกลับไปสายงานเดิม หรือกลับมาสายงานใหม่ในบริษัทอื่น ก็ย่อมเป็นความเสี่ยงและมีคำถามมากมายจากบริษัทต่อไปที่จะสัมภาษณ์เรา ว่าทำไมเราถึงไม่ประสบความสำเร็จในการข้ามสายงาน
กล่าวโดยสรุป ก็คือ การเปลี่ยนงานแต่ละครั้ง จะต้องวางแผนให้ดีว่า ระยะยาวเราต้องการสิ่งใดกันแน่ ระหว่างการข้ามสายงานเพื่ออัพตัวเงินเดือนมากๆ หรือการเปลี่ยนบริษัทที่ใหญ่ขึ้นเพื่อผลระยะยาวในช่วงวัยเกษียณ หรือการเปลี่ยนสายงานที่เราต้องการจะทำจริงๆ แต่ไม่มีโอกาสทำในอดีต และเมื่อเปลี่ยนไปแล้ว เราก็จะทำยาวไปจนถึงขั้นเกษียณเพื่อสร้างมูลค่าของเราให้มากที่สุดในระยะยาว การเปลี่ยนงานต่างๆ จึงต้องวางแผนให้ดี เพราะการเรียกเงินเดือนในการเป็นงานแต่ละครั้งอาจจะมีโอกาสเสี่ยงได้มากน้อยไม่เท่ากัน และส่งผลต่อเนื่องแตกต่างกันในขั้นตอนต่อๆ ไป

