ยุคของ “Solopreneurs” ลาออกจากงานประจำ มาเป็น”นายตัวเอง” คิดถูกหรือไม่?
การจะตัดสินว่า คิดถูกหรือไม่ เป็นเรื่องที่ตอบได้ยาก เพราะการเป็นเจ้านายตัวเองนั้น มีทั้ง ข้อดี ข้อเสีย ก่อนที่จะสรุปว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือไม่ ลองมาดูกันก่อนดีกว่าว่า การเป็นเจ้านายตัวเอง หรือทำกิจการของตัวเองนั้น เราต้องเจอกับอะไรบ้างเมื่อเทียบกับ การทำงานประจำ
1.งานประจำทำงานแค่วันละ 8 ชั่วโมง แต่เป็นเจ้าของกิจการ ต้องทำงานวันละ 24 ชั่วโมง หมายถึง
- เป็นคนที่จะต้องคิดอยู่ตลอดเวลาหาทางแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา
- หาทางพัฒนาสินค้า
- หาทางพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย
- หาทางบริหารเงินหมุนต่างๆ
- หาทางจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในเรื่องของการขาย การจัดส่ง การวางแผนการผลิต หรือการแข่งขันในตลาด
คนที่พร้อมที่จะทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา ทั้งแรงกาย แรงใจและกำลังสมอง จึงจะคิดถูก ที่จะออกมาเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเอง

2.งานประจำมีรายได้แน่นอนเปรียบเสมือนเป็นกำไรสุทธิที่ได้จากการทำงาน ในขณะที่การเป็นเจ้าของธุรกิจ….
- รายได้ไม่แน่นอน ไม่คงที่ อาจจะได้มากกว่าการเป็นพนักงานประจำหลายสิบหลายร้อยเท่า หรืออาจจะไม่มีรายได้เลยซึ่งเป็นความเสี่ยงสูงสุดอย่างหนึ่งของการเป็นเจ้าของธุรกิจ
- ไม่มีการรับประกันในเรื่องของรายได้ว่า จะมีเมื่อไหร่ มากน้อยแค่ไหน และมียาวนานต่อเนื่องได้แค่ไหน
- รายได้จะดีขึ้น หรือแย่ลง ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่เป็นความเสี่ยงที่ต้องพบเจออย่างแน่นอน
คนที่จะออกมาเป็นเจ้าของธุรกิจ ถ้ายอมรับได้กับความกดดันในเรื่องของรายได้ที่ไม่แน่นอน และไม่รู้ว่าจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อไหร่จนกว่าจะได้รายได้เท่ากับเงินเดือนประจำที่เคยได้ ก็สามารถจะเป็นนักธุรกิจได้
3.รายจ่ายที่เพิ่มขึ้นแน่นอน ในขณะที่ยังเป็นพนักงานประจำอยู่
- มีรายได้ที่แน่นอนและมีรายจ่ายที่รอรับอยู่แล้วแน่นอนเช่น ภาระค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ และภาระค่าใช้จ่ายต่างๆที่มีอยู่ประจำเดือนที่แน่นอนที่ต้องชำระ แต่สามารถคาดการณ์ได้เนื่องจากมีรายได้ประจำที่เป็นเงินเดือนหักกับค่าใช้จ่ายประจำที่ต้องมีนั้นทำให้สามารถประเมินได้ว่าจะมีเงินเหลือเท่าไหร่ในการดำรงชีวิตในแต่ละเดือน
- แต่เมื่อเป็นเจ้าของธุรกิจแล้ว นอกจากรายได้ ที่ไม่แน่นอน แต่รายจ่ายที่มีอยู่แล้วเป็นประจำ ยังมีรายจ่ายใหม่ๆ เพิ่มเติมขึ้นมาอีกจากการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ค่าสถานที่ ค่าวัตถุดิบ ค่าจ้างพนักงาน และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ต้องเกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการเพื่อให้การดำเนินกิจการนั้นดำเนินต่อไปได้อย่างสะดวก
นั่นหมายความว่า รายจ่ายจะเพิ่มขึ้นอย่างมากมายจากรายจ่ายเดิมที่มีอยู่แล้ว ในขณะที่รายได้มีไม่แน่นอน ดังนั้น โอกาสที่จะมีสถานการณ์ที่ รายจ่ายมากกว่ารายได้ ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้สูงมาก ในช่วงเริ่มต้นของการทำธุรกิจ ถ้าไม่มีเงินทุนสำรองเพียงพอหรือไม่มีความอดทนเพียงพอ ก็ไม่สามารถจะทำธุรกิจส่วนตัวได้

4.สภาวะการแข่งขันที่กดดันอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากเป็นการทำธุรกิจนั้น คู่แข่งทางธุรกิจไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาสินค้า บริการและคุณภาพ ไปถึงการทำสงครามราคา ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ ดังนั้น เราจะต้องพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลาในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็น
- เรื่องของสินค้าที่ต้องพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เพราะสินค้าที่ขายไปช่วงหนึ่งแล้ว อาจจะเกิดลักษณะที่ เรียกว่าอิ่มตัว และเริ่มเสื่อมสลายไป ดังนั้น การพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำ
- การบริการ ต้องรักษาคุณภาพไว้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นวันแรกของการทำธุรกิจ หรือผ่านมาหลายปีแล้วในการทำธุรกิจคุณภาพของการบริการ จะต้องดีขึ้น ไม่ใช่ว่า การเริ่มต้นธุรกิจบริการดี และเมื่อธุรกิจเริ่มเดินได้แล้ว บริการกลับต่ำกว่ามาตรฐานที่เคยเป็น จะทำให้ลูกค้าผิดหวังและจากไป
- ส่วนเรื่องสงครามราคานั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในบางธุรกิจยิ่งเป็นธุรกิจที่เข้าง่าย ออกง่าย หมายถึง ธุรกิจนั้น ใคร ๆ ก็เข้ามาทำได้ โดยที่ไม่ต้องมีต้นทุนในการเข้าสู่ธุรกิจมากนัก มีโอกาสสูงที่จะเกิดสงครามราคา เนื่องจากทุกคนเข้ามาแล้วต้องการทำกำไรด้วยการสร้างยอดขายในระยะสั้น ก่อนที่จะออกจากตลาดไป ดังนั้น สิ่งที่ต้องการมากที่สุด ก็คือ การดึงลูกค้า หรือ ยอดขายมาหาตนเองให้มากที่สุด และเครื่องมืออย่างหนึ่งในการทำงานในส่วนนี้ก็คือกลไกการตลาดที่เรียกว่า “สงครามราคา” แม้จะรู้ว่ามันจะไม่ยั่งยืนในระยะยาว แต่ผู้เล่นที่อยู่ในส่วนธุรกิจลักษณะนี้ ก็มองสั้นๆเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อได้กำไรแล้ว ก็จากไป ไปทำลักษณะเดียวกันในธุรกิจใหม่ๆต่อไป
5.ความไม่แน่นอนในการจัดการ Operation ในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกที่ไม่คาดหมาย เช่น
- วัตถุดิบไม่เพียงพอ
- วัตถุดิบขึ้นราคา
- พนักงานลาออกกะทันหัน หรือไม่มาทำงานตามกำหนดเวลา
จนส่งผลกระทบให้การดำเนินธุรกิจนั้น ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆที่เกิดปัญหานี้
ดังนั้น “ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า” ก็เป็นคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของผู้ที่ต้องการจะทำธุรกิจส่วนตัวซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่ได้มีกันทุกคน และไม่สามารถหาเรียนรู้ได้ในตำราต่างๆ ซึ่งปัญหาของแต่ละคน ก็ไม่เหมือนกัน และวิธีแก้ปัญหา หรือวิธีคิดในการแก้ปัญหา ก็แตกต่างกัน ให้ผลลัพธ์ที่ต่างกัน จึงไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวว่าเมื่อเกิดปัญหาอย่างนี้แล้ว คนที่ทำธุรกิจส่วนตัวจะมีคำตอบสำเร็จรูปที่ใช้ในการแก้ปัญหาได้ตลอดเวลา มีแต่ประสบการณ์การทำงานที่แท้จริงในการดำเนินธุรกิจเท่านั้น ที่จะสอนเจ้าของกิจการว่าปัญหาต่างๆของตนเองภายใต้สภาวะเงื่อนไขของตนเองนั้น จะต้องแก้ไขอย่างไร

6.เงินลงทุนที่ต้องมีในวันเริ่มต้นทำธุรกิจ และเงินสำรองที่ต้องมี
เพื่อใช้เป็นสายป่านในการดำเนินธุรกิจระยะยาว นับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำธุรกิจ จนกระทั่งถึงวันที่ธุรกิจเริ่มอยู่ได้ เลี้ยงตัวเองได้ จึงทำให้เรื่องของเงินทุนหมุนเวียนที่จะต้องมีเพิ่มขึ้นอีก สำหรับการทำธุรกิจตรงนี้ นอกเหนือจากเงินที่ต้องใช้ในการดำเนินธุรกิจแต่ละวัน อาจจะต้องรวมไปถึงเงินที่จะต้องเตรียมไว้สำหรับขยายธุรกิจในอนาคต เมื่อธุรกิจเริ่มเดินได้แล้วธุรกิจเริ่มโตขึ้น เงินทุนหมุนเวียนที่จำเป็นต้องใช้ในธุรกิจก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งหากไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้า หรือมีเงินสำรองล่วงหน้า ธุรกิจก็จะอยู่ชะงักในจังหวะที่กำลังเติบโต
7.เรื่องของความล้มเหลวในการดำเนินธุรกิจบางอย่างในการเลือกทำครั้งแรก ซึ่งไม่ได้หมายความว่า จะต้องประสบความสำเร็จเสมอไป เจ้าของกิจการบางคนอาจจะล้มลุกคลุกคลาน เปลี่ยนธุรกิจไปหลายครั้ง เพื่อหาธุรกิจที่จะตอบโจทย์จริงๆ แล้วทำให้อยู่รอดได้ ซึ่งในการเปลี่ยนธุรกิจแต่ละครั้ง ก็จะมี
- ต้นทุนในการเริ่มต้น
- ต้นทุนในการดำเนินการ
- ต้นทุนของเวลาจนกว่าจะรู้ว่าธุรกิจนั้นมันไม่ใช่ เกิดความเสียหาย และเริ่มต้นใหม่
ดังนั้น ความสำเร็จจึงมิใช่สิ่งที่จะคาดหวังได้ในวันแรกที่เริ่มทำธุรกิจ หรือแม้กระทั่งอาจจะในช่วง 2-3 ปีแรกในการทำธุรกิจอย่างเดียวหากเกิดความล้มเหลวหลายๆ ครั้ง บางครั้งอาจต้องใช้เวลาถึง 10 ปี กว่าจะเจอธุรกิจที่ใช่และเริ่มเลี้ยงตัวได้ นี่คือความอดทนและความกดดันที่จะต้องมีของผู้ที่คิดจะออกมาทำธุรกิจส่วนตัว
8.แบ่งรับความคาดหวังของคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด
ในฐานะผู้นำคนหนึ่งของธุรกิจ จึงเป็นคนที่แบกรับความหวังของ ผู้ช่วย ลูกน้องทีมงาน และรวมไปถึงผู้ที่ร่วมทุน หรือให้ทุนมาในการดำเนินธุรกิจและหวังว่าจะได้เงินทุนคืนพร้อมกับกำไรที่จะทำได้ ซึ่งแตกต่างจากการเป็นพนักงานประจำ ซึ่งไม่ต้องแบกความหวังให้กับใคร นอกจากรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จไปในทุกวัน แต่การเป็นเจ้าของธุรกิจก็คือการแบกความหวังทั้งหมดไว้บนบ่าของตัวเองในแต่ละวันและต้องทำให้ผ่านพ้นไปให้ได้ด้วยดี เพื่อให้คนที่อยู่ด้วยข้างหลังสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ด้วยดีภายใต้การนำของเรา
9.ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายที่อาจจะพบเจอแตกต่างกันไปในธุรกิจของแต่ละคน
ดังนั้น การลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจส่วนตัว คิดถูกหรือไม่ เราต้องตอบคำถามข้างบนนี้ให้ได้ก่อนว่า เรารับกับสภาวะที่เกิดขึ้นแบบนี้ได้หรือไม่ เราอดทนหรือรับความกดดันได้หรือไม่ หากคำตอบ คือ “ไม่ได้” นั่นแปลว่า “เรายังไม่พร้อมที่จะทำธุรกิจส่วนตัว”







