ธุรกิจประเภทใดบ้างที่ ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
การทำธุรกิจในปัจจุบัน นอกจากการสร้างรายได้และขยายตลาดแล้ว เรื่องการ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะเป็นข้อบังคับทางกฎหมายเมื่อมีรายได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว การจดทะเบียน VAT ยังช่วยเสริมภาพลักษณ์และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจอีกด้วย
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจประเด็นสำคัญเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม เริ่มจากคำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัยว่า ต้องมีรายได้เท่าไหร่ถึงจำเป็นต้องจดทะเบียน VAT พร้อมทั้งเจาะลึกถึง ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับ รวมถึง ประเภทธุรกิจที่ได้รับการยกเว้น และขั้นตอนที่ต้องทำ หากธุรกิจเข้าหลักเกณฑ์การจดทะเบียนเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถประเมินและจัดการเรื่องภาษีได้อย่างมืออาชีพ
1.มีรายได้เท่าไหร่? ถึงจำเป็นต้อง จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

เมื่อไรก็ตามที่ผู้ประกอบการมีรายได้จากการขายสินค้า หรือบริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องดำเนินการ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่มีรายได้เกินจากที่กฎหมายกำหนด และต้องไปยื่นคำขอจดทะเบียนที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ พื้นที่สาขาและเลือกยื่นผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต
2.ประโยชน์ที่ได้รับหลังจาก จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม มีอะไรบ้าง

จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย แต่ยังเสริมสร้างโอกาส และความได้เปรียบในตลาดอีกหลายประการ อย่างเช่น
2.1 สามารถหักภาษีซื้อ ผู้ประกอบการที่จด VAT สามารถนำ ภาษีซื้อ (VAT ที่จ่ายไปกับการซื้อสินค้าหรือบริการ) มาหักกับ ภาษีขาย ที่ต้องชำระกับรัฐได้ ทำให้ลดภาระภาษีสุทธิ และช่วยปรับสภาพเงินสดของธุรกิจให้ดีขึ้น
2.2 เสริมความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจ การจด VAT แสดงให้ลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจเห็นว่าเป็น ธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีความมั่นคงและเชื่อถือได้ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในด้านการทำธุรกรรมและการขยายตลาด
2.3 เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ หลายองค์กรหรือหน่วยงานราชการมักต้องการทำธุรกิจกับบริษัทที่ จด VAT เท่านั้น ดังนั้นการจดทะเบียนจึงช่วยให้ธุรกิจเข้าถึง โอกาสการขายสินค้าหรือบริการกับองค์กรขนาดใหญ่และรัฐบาล
2.4 ปฏิบัติตามกฎหมาย ลดความเสี่ยงทางภาษี การจด VAT ทำให้ธุรกิจ ปฏิบัติตามข้อกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่ม ลดความเสี่ยงในการถูกปรับหรือถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากร
2.5 ช่วยวางแผนทางการเงินและบัญชี
ได้ดีขึ้นการทำ VAT จะทำให้ธุรกิจต้อง จัดทำเอกสารการเงินและบัญชีอย่างเป็นระบบ ซึ่งช่วยให้สามารถวางแผนทางการเงินและวิเคราะห์ต้นทุนได้แม่นยำขึ้น
นอกจากนี้ การจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบยังทำให้ ตรวจสอบได้ง่าย โดยบริษัทต้องจัดทำ รายงานภาษีซื้อและรายงานภาษีขาย เพื่อยื่นต่อกรมสรรพากร รวมถึงบันทึกรายการซื้อขายและเก็บเอกสารประกอบอย่างเป็นระเบียบ ทำให้การตรวจสอบและการดำเนินงานภายในบริษัทมีความสะดวกและราบรื่นยิ่งขึ้น
3. ประเภทธุรกิจที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย

แม้ว่าการ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจส่วนใหญ่ แต่ยังมีธุรกิจบางประเภทที่ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อช่วยลดภาระและส่งเสริมกิจการบางกลุ่ม ซึ่ง ธุรกิจที่ได้รับยกเว้นมีดังนี้
– การขายพืชผลทางการเกษตร
– การขายสัตว์ทั้งที่ยังมีชีวิตหรือถูกแปรรูปแล้วภายในประเทศ
– การขายปุ๋ย ปลาป่นอาหารสัตว์
– การขายยาหรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืชหรือสัตว์
– การขายสลากกินแบ่งของรัฐบาล และฯลฯ
4.หากเข้าหลักเกณฑ์ต้อง จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ควรทำอย่างไร?
ธุรกิจมีรายได้ ใกล้ที่จะเข้าหลักเกณฑ์ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ ตรวจสอบรายได้ธุรกิจ หากรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องรีบดำเนินการจดทะเบียน ภายใน 30 วัน ไม่เช่นนั้น อาจถูกค่าปรับ หรือความเสี่ยงจากการตรวจสอบของสรรพากร และส่วนที่สำคัญต้องปฏิบัติ ดังนี้
4.1ตรวจสอบเกณฑ์รายได้ ก่อนอื่น ผู้ประกอบการควรตรวจสอบ รายได้รวมต่อปี ของธุรกิจ หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี หรือเข้าข่ายธุรกิจที่ต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย ถือว่าจำเป็นต้องจด VAT
4.2 เตรียมเอกสารจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

ได้แก่
– คำขอ ภ.พ.01 และ ภ.พ.01.1 (ถ้ามี)
– สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระบุชื่อ ที่อยู่ หรือหนังสือยินยอมให้ใช้อสังหาริมทรัพย์
– หนังสือเดินทาง หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
– ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ (กรณีเป็นคนต่างด้าว)
– หนังสือการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญ กองทุน มูลนิธิ หน่วยงาน หรือกิจการของเอกชนที่ไม่ใช่นิติบุคคล
– หนังสือตั้งตัวแทนรับรองจากสถานทูต หรือสถานกงสุล
– เอกสารการดำเนินกิจการร่วมค้า (ถ้ามี)
– แผนที่สถานประกอบการ และภาพถ่าย
– หนังสือมอบอำนาจ บัตรและสำเนาประจำตัวประชาชนผู้มอบอำนาจ
– หนังสือรับรองของผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด กรณีใช้อาคารชุดเป็นสถานประกอบการ
สามารถเลือกวิธีการจดทะเบียนได้ 2 ช่องทาง คือ
– ยื่นแบบคำขอผ่านทางอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th
– ยื่นแบบคำขอด้วยเอกสาร ณ หน่วยจดทะเบียนที่ตั้งสถานประกอบการ ดังนั้น เมื่อธุรกิจมีรายได้เกินเกณฑ์ที่กำหนด การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย ลดความเสี่ยงจากการถูกปรับ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ
สรุป
การจดทะเบียน VAT เป็นเรื่องสำคัญสำหรับธุรกิจที่มีรายได้เกินเกณฑ์หรือเข้าข่ายตามกฎหมาย นอกจากจะปฏิบัติตามข้อบังคับแล้ว ยังช่วย เพิ่มความน่าเชื่อถือ ขยายโอกาสทางธุรกิจ และปรับปรุงการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ สำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในเกณฑ์ ควร เตรียมเอกสารและดำเนินการจด VAT อย่างครบถ้วน เพื่อลดความเสี่ยงและเสริมภาพลักษณ์ธุรกิจ