26ส.ค.

กฎหมายแรงงาน สิทธิทางกฎหมาย ที่พนักงานควรรู้

แม้ว่าหลายคนจะคิดว่า กฎหมายเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก และไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากมนุษย์เงินเดือนทุกคน ไม่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ กฎหมายแรงงาน ขั้นพื้นฐาน อาจถูกเอารัดเอาเปรียบ จากสถานการณ์ต่าง ๆ ในที่ทำงานได้โดยไม่รู้ตัว

ดังนั้น ในบทความนี้ orchidjob จะมาแชร์สาระน่ารู้เกี่ยวกับกฎหมายสำหรับแรงงาน ประจำปี 2568 ที่เราสรุปมาให้อ่านแบบเข้าใจง่าย เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเอาเปรียบในที่ทำงาน และยกระดับคุณภาพชีวิตของพนักงาน ให้ดียิ่งขึ้น หากพร้อมแล้ว เราไปดูกันได้เลย

1. กฎหมายแรงงาน คืออะไร

กฎหมายแรงงาน หรือที่เรียกกันว่า “พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน” คือ กฎหมายที่กำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่าง นายจ้าง และ ลูกจ้าง โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ความสัมพันธ์ในการทำงานเป็นไปอย่างเป็นธรรม โปร่งใส และยุติธรรม ทั้งยังช่วยสร้างมาตรฐานการทำงานที่เหมาะสม ป้องกันการเอาเปรียบลูกจ้าง และส่งเสริมสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับ เช่น ค่าจ้าง ชั่วโมงการทำงาน วันหยุด ลาพักร้อน ประกันสังคม และสวัสดิการต่าง ๆ

กฎหมายนี้ยังครอบคลุมถึง การคุ้มครองแรงงานในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแรงงานประจำ แรงงานชั่วคราว หรือแรงงานนอกสถานที่ (Remote Work) เพื่อให้ลูกจ้างทุกประเภทได้รับความคุ้มครองตามสิทธิอย่างเท่าเทียม

นอกจากนี้ กฎหมายแรงงานยังทำหน้าที่เป็น กรอบกำกับการปฏิบัติงานของนายจ้าง เพื่อให้มั่นใจว่าการบริหารงาน ไม่ละเมิดสิทธิของลูกจ้าง และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ ปลอดภัย มีความสุข และยั่งยืน

2. แนะนำสวัสดิการ และสิทธิประโยชน์พื้นฐานที่พนักงานควรได้รับ

ในปี 2568 ได้มีการปรับเปลี่ยนสิทธิขั้นพื้นฐาน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้พนักงานของแต่ละองค์กร ได้รับผลประโยชน์สูงสุด และสอดคล้องกับเนื้องาน ทั้งยังป้องกันไม่ให้ถูกเอาเปรียบในสถานที่ทำงาน โดยสวัสดิการ และสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานของพนักงาน ประจำปี 2568 มีดังนี้

2.1 อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

ในปี 2568 อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ของประเทศไทยมีการปรับเพิ่มขึ้นตามแต่ละจังหวัด เพื่อสะท้อนค่าครองชีพที่แตกต่างกันและช่วยให้ลูกจ้างมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิตประจำวัน โดยอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสูงสุดอยู่ที่ 400 บาทต่อวัน ในจังหวัดที่มีค่าครองชีพสูง เช่น ภูเก็ต ชลบุรี ระยอง กรุงเทพฯ และนนทบุรี ขณะที่จังหวัดอื่น ๆ จะมีอัตราแตกต่างกันตามเศรษฐกิจและค่าครองชีพของพื้นที่

การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนี้ส่งผลให้ นายจ้างต้องปรับเงินเดือนพนักงานให้สอดคล้องกับกฎหมาย และทำให้ลูกจ้างได้รับ รายได้ที่เป็นธรรม นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาการทำงานที่ไม่ได้ค่าตอบแทนเหมาะสม และส่งเสริมแรงจูงใจในการทำงานให้สูงขึ้น

ลูกจ้างควรทราบว่า ค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเพียงจำนวนขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด นายจ้างสามารถจ่ายสูงกว่านี้ได้ตามประสบการณ์ ทักษะ หรือข้อตกลงอื่น ๆ ในสัญญาจ้าง และการคำนวณค่าจ้างรวมถึง เงินล่วงเวลา (OT) ค่าคอมมิชชั่น หรือโบนัส ต้องไม่ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมาย

2.2 เวลาทำงานและการทำงานล่วงเวลา (OT)

กฎหมายแรงงานไทยปี 2568 กำหนด เวลาทำงานปกติ ของลูกจ้างไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อป้องกันการทำงานหนักเกินไปและส่งเสริมสุขภาพของลูกจ้าง ทั้งนี้นายจ้างต้องจัดตารางการทำงานให้ชัดเจนและไม่ละเมิดกฎหมาย

หากลูกจ้างต้องทำงานเกินเวลาปกติ หรือทำงานนอกวันทำงานปกติ จะถือว่าเป็น การทำงานล่วงเวลา (Overtime) และนายจ้างต้องจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มตามอัตราที่กฎหมายกำหนด

ดังนี้:

– วันทำงานปกติ: นายจ้างต้องจ่าย ไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของค่าจ้างปกติ เช่น หากค่าจ้างรายวัน 400 บาท การทำ OT 2 ชั่วโมง ต้องได้รับค่าแรงเพิ่มเติมอย่างน้อย 150 บาทต่อชั่วโมง

– วันหยุดประจำสัปดาห์หรือวันนักขัตฤกษ์: นายจ้างต้องจ่าย ไม่น้อยกว่า 3 เท่าของค่าจ้างปกติ เพื่อชดเชยการเสียเวลาพักผ่อน

2.3 วันหยุดประจำปีและวันหยุดนักขัตฤกษ์

การให้วันหยุดเป็นสิทธิพื้นฐานของลูกจ้างตามกฎหมายแรงงานไทยปี 2568 ซึ่งช่วยให้ลูกจ้างมีเวลา พักผ่อน ฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ ลดความเครียดจากการทำงาน และสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว

วันหยุดประจำปี (Annual Leave)

– ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ วันหยุดประจำปีไม่น้อยกว่า 6 วันทำงาน หลังจากทำงานครบ 1 ปีเต็ม

– นายจ้างสามารถกำหนด วันลาพักผ่อนเพิ่มเติม ได้ตามสัญญาจ้างหรือข้อกำหนดของบริษัท

– หากลูกจ้างยังไม่ได้ทำงานครบ 1 ปี แต่ต้องลา นายจ้างอาจ หักวันลาออกจากวันลาในปีถัดไป ตามข้อตกลง

วันหยุดนักขัตฤกษ์ (Public Holidays)

ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ได้มีการระบุไว้ชัดเจนว่า ลูกจ้างต้องมีสิทธิได้รับวันหยุดตามประเพณี ไม่น้อยกว่า 13 วันต่อปี (รวมวันแรงงาน) โดยได้รับค่าจ้าง ซึ่งหากนายจ้างไม่ให้วันหยุด จะมีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ

– ลูกจ้างมีสิทธิ หยุดทำงานตามวันนักขัตฤกษ์ ที่กฎหมายกำหนด เช่น วันปีใหม่ วันแรงงานแห่งชาติ วันสงกรานต์ เป็นต้น

วันหยุดพักผ่อนประจำปี

สำหรับพนักงานที่ทำงานติดต่อกันมาครบ 1 ปี ควรได้รับสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี หรือวันหยุดพักร้อน ไม่น้อยกว่า 6 วันทำงานในทันที โดยไม่ต้องเฉลี่ย ทั้งยังสามารถทบวันลาพักร้อนไปใช้ปีหน้า หรือเก็บสะสมวันลาพักร้อนไว้ข้ามปี

2.4 ประกันสังคม

ประกันสังคม คือ สิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐาน ที่ลูกจ้างควรได้รับ ซึ่งตามกฎหมายประกันสังคม หากบริษัท หรือสถานประกอบการ มีการจ้างพนักงานตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป นายจ้างต้องขึ้นทะเบียนพนักงาน เป็นผู้ประกันตนกับสำนักงานประกันสังคม และต้องเริ่มส่งเงินสมทบ ให้แก่กองทุนประกันสังคม ภายใน 30 วันหลังจากลูกจ้างเริ่มทำงาน 

ซึ่งในปี 2568 ประกันสังคมได้มีการเพิ่มสิทธิ ให้กับผู้ประกันตนหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรเป็น 1,000 บาท, สิทธิรักษามะเร็ง ได้ทุกโรงพยาบาล, เพิ่มโรงพยาบาลประกันสังคมเป็น 271 แห่ง และเงินทดแทนว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 60%

2.5 กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นสวัสดิการที่นายจ้าง อาจจัดให้โดยความสมัครใจ โดยนายจ้าง และลูกจ้างจะจ่ายเงินสมทบในอัตราที่ตกลงกัน เพื่อให้ลูกจ้างมีเงินออมไว้ใช้จ่าย ในยามเกษียณอายุ ออกจากงาน และทุพพลภาพ หรือเป็นหลักประกันให้แก่ครอบครัว หากลูกจ้างเสียชีวิต

ทั้งนี้ สำหรับหน่วยงานที่ต้องการตัวช่วย ในการบันทึกเวลาทำงานแบบเรียลไทม์ หรือต้องการประกาศวันหยุด ให้

3. รวมกฎหมายแรงงาน 2568 เพิ่มสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง

กฎหมายแรงงานไทยปี 2568 มีการปรับปรุงเพื่อเพิ่ม สิทธิและสวัสดิการของลูกจ้าง ให้ครอบคลุมทุกมิติของการทำงาน ทั้งด้าน รายได้ สุขภาพ และความมั่นคงทางสังคม สิ่งที่พนักงานควรรู้เกี่ยวกับ สิทธิพื้นฐานแรงงาน มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ชั่วโมงการทำงาน สิทธิในการลา รวมถึงการ คุ้มครองในการจ้างงาน เพื่อป้องกันการถูกเอาเปรียบโดยนายจ้างหรือ HR ประจำบริษัท ทั้งยังช่วยให้ลูกจ้างได้รับสิทธิอย่าง ยุติธรรมและครบถ้วน

3.1 ชั่วโมงการทำงานต่อวัน

พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานของประเทศไทย ได้มีการระบุกฎเกณฑ์ ในเรื่องเวลาทำงานอย่างชัดเจน โดยระยะเวลาทำงานปกติ ต้องไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือตามที่นายจ้าง และลูกจ้างตกลงกัน แต่ต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

อย่างไรก็ตาม สำหรับงานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และความปลอดภัยของลูกจ้าง เช่น งานเช็ดกระจกบนตึกสูง หรืองานที่เกี่ยวกับสารเคมี ตามกฎหมาย ได้มีการกำหนดเวลาทำงานไม่เกิน 7 ชั่วโมงต่อวัน รวมแล้วไม่เกิน 42 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

3.2 ชั่วโมงการพัก

เมื่อมีการทำงาน ก็ต้องมีเวลาพัก เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน หรือผ่อนคลายความเครียด โดยกำหนดให้ลูกจ้างต้องมีเวลาพัก ไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง และต้องเป็นการพัก หลังจากที่ทำงานติดต่อกันไม่เกิน 5 ชั่วโมง นอกจากนี้ หากมีการทำ OT 2 ชั่วโมงขึ้นไป ต้องมีการพักก่อนทำงานล่วงเวลา ไม่น้อยกว่า 20 นาที

3.3 การคุ้มครองการจ้างงาน และเลิกจ้าง

กรณีที่มีการเลิกจ้าง ในพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ได้มีการกำหนดเงื่อนไขไว้อย่างชัดเจนว่า หากนายจ้างต้องการเลิกจ้าง ควรแจ้งให้ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 1 รอบการจ่ายค่าจ้าง หากไม่แจ้งล่วงหน้า ต้องจ่ายค่าชดเชย แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โดยมีการกำหนดอัตราค่าชดเชยไว้ ดังนี้

– ลูกจ้างที่ทำงานครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี: ได้รับค่าชดเชย เท่ากับค่าจ้าง 30 วัน

– ลูกจ้างที่ทำงานครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี: ได้รับค่าชดเชย เท่ากับค่าจ้าง 90 วัน

– ลูกจ้างที่ทำงานครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี: ได้รับค่าชดเชย เท่ากับค่าจ้าง 180 วัน

– ลูกจ้างที่ทำงานครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี: ได้รับค่าชดเชย เท่ากับค่าจ้าง 240 วัน

– ลูกจ้างที่ทำงานครบ 10 ปี แต่ไม่ครบ 20 ปี: ได้รับค่าชดเชย เท่ากับค่าจ้าง 300 วัน

– ลูกจ้างที่ทำงานครบ 20 ปีขึ้นไป: ได้รับค่าชดเชย เท่ากับค่าจ้าง 400 วัน

ทั้งนี้ ในกรณีที่ลูกจ้างทำความผิดร้ายแรง เช่น ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจทำให้นายจ้างเสียหาย และประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง นายจ้างไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชย

การใช้แรงงาน

ตามเกณฑ์ของกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ได้มีการระบุขอบเขต เกี่ยวกับการใช้แรงงานหญิง และแรงงานเด็กอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย และจิตใจจากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น

การใช้แรงงานหญิง

ห้ามลูกจ้างหญิงตั้งครรภ์ ทำงานในช่วงเวลา 22.00 – 06.00 น. และการทำงานล่วงเวลา หรือทำงานในวันหยุด รวมถึงห้ามทำงานในที่เสี่ยงอันตราย เช่น งานในเมืองแร่ งานก่อสร้างใต้ดิน ใต้น้ำ ในถ้ำ ในอุโมงค์ และในปล่องภูเขา หรืองานที่ต้องทำบนนั่งร้าน สูงกว่าพื้น 10 เมตรขึ้นไป

การใช้แรงงานเด็ก

ห้ามจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี หรือในกรณีที่จ้างเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ต้องมีการแจ้งต่อพนักงานตรวจแรงงาน ทั้งยังห้ามทำงานในช่วงเวลา 22.00 – 06.00 น. และห้ามทำงานล่วงเวลาเป็นอันขาด

สรุป

กฎหมายแรงงานไทยปี 2568 ไม่เพียงแต่ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและวันทำงาน แต่ยังเพิ่ม สิทธิประโยชน์และการคุ้มครองลูกจ้าง ครอบคลุมทั้งค่าตอบแทน วันหยุด ลา ประกันสังคม และการทำงานแบบยืดหยุ่น เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ เป็นธรรม ปลอดภัย และยั่งยืน

ขอบคุณข้อมูลจาก: https://www.mol.go.th/