วิธีรับมือกับพนักงาน “Quiet Quitting”: สัญญาณเตือนและกลยุทธ์แก้ไข
Quiet Quitting คืออะไร?
Quiet Quitting คือพฤติกรรมของพนักงานที่ทำงานเพียง “เท่าที่จำเป็น” ไม่ทุ่มเทเกินขอบเขตหน้าที่ แม้จะยังไม่ลาออกทันที แต่ก็แสดงถึงความไม่พึงพอใจหรือหมดไฟในการทำงาน หากองค์กรไม่รีบสังเกตและแก้ไข อาจนำไปสู่การลาออกจริงในที่สุด

👉ลักษณะของคนที่มีความรู้สึก Quiet Quitting
1. มุ่งเน้นผลลัพธ์มากกว่าการเข้าสังคม
เป็นพนักงานที่เน้นการทำงานมากกว่าการเข้าสังคม พนักงานกลุ่มนี้ จึงมักเป็นพนักงานที่มีศักยภาพสูง มีความสามารถในการทำงานสูง และสามารถทำงานด้วยตัวคนเดียวได้เป็นหลัก เป็นคนที่เน้นเรื่องของประสิทธิภาพเป็นหลัก
2. ไม่อดทนกับสิ่งที่เป็นอุปสรรคหรือไม่เป็นธรรม
เป็นพนักงานที่มักไม่มีความอดทนต่อสิ่งต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน หรือเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในการทำงาน และมักจะไม่ใช่เป็นคนที่จะเรียกร้อง หรือต่อรองสิ่งต่างๆ พวกเขาคิดว่าไม่จำเป็น
3. เชื่อมั่นในศักยภาพตัวเองสูง พร้อมหางานใหม่ได้เสมอ
เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองสูง จึงไม่ค่อยแคร์กับการที่จะทำงานต่อไปในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพราะมั่นใจว่า สามารถจะหางานที่ตัวเองพึงพอใจได้ไม่ยาก
4. ยึดติดกับเป้าหมายงานมากกว่าองค์กรหรือเพื่อนร่วมงาน
เป็นคนที่ยึดติดกับเป้าหมายในการทำงานเป็นหลัก จึงมักเป็นคนที่ไม่ยึดติดกับสิ่งอื่น ไม่ว่าจะเป็นองค์กร หรือเพื่อนร่วมงาน เพราะเป้าหมายของคนกลุ่มนี้ จะเน้นที่ผลลัพธ์ของงาน และผลลัพธ์ของความสำเร็จเป็นหลัก
👉สัญญาณเตือน Quiet Quitting ที่หัวหน้าต้องรู้
สัญญาณเตือนที่มักจะบอกว่าพนักงานกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเริ่มลาออก โดยที่ทางหัวหน้าอาจจะไม่มีการระแคะระคายมาก่อนว่าพนักงานกำลังคิดจะลาออก เพราะกลุ่มนี้มักจะไม่ค่อยชอบสื่อสารยกเว้นเรื่องงาน จึงมักจะไม่ค่อยเดินเข้ามาคุยว่า ไม่มีความพอใจอย่างไร และคิดจะลาออกหรือไม่อย่างไร หัวหน้าจึงมักจะไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงสิ่งที่เขากำลังตัดสินใจ จนกระทั่งถึงนาทีที่เขายื่นใบลาออก

1. ลาป่วยหรือลากิจบ่อยผิดปกติ
จากคนที่เคยขยันทำงาน สู่การลาป่วยลากิจบ่อย อันนี้ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนสำหรับคนที่จะเป็น Quiet Quitting เพราะปกติพนักงานกลุ่มนี้ จะมีความรักในการทำงาน และกระหายความสำเร็จในเป้าหมายที่ทำงาน เขาจึงมักจะมีความสุขในการทำงาน และชอบทำงานเพื่อให้สำเร็จตามที่หวัง ดังนั้น เมื่อคนกลุ่มนี้ เริ่มลากิจ ลาป่วยบ่อยๆ นั่นหมายถึง เขาเริ่มหมดความหวังกับงานที่ทำ และเริ่มคิดว่าเป้าหมายของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป จึงเริ่มต้นด้วยการ ลากิจลาป่วย ไปสัมภาษณ์งาน
2. ใช้เวลาไปกับการพูดเล่นมากขึ้น
เวลาทำงานโดยปกติคนกลุ่มนี้จะไม่ค่อยพูดเล่น จะเน้นไปที่การพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องงานเป็นหลัก แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เขาเริ่มมีการพูดคุยสนุกสนาน พูดเล่น นั่นเป็นสัญญาณว่า เขาเริ่มผ่อนคลายกับประสิทธิภาพการทำงาน หรือผลงานที่เขาคาดหวัง หรือให้ความสนใจน้อยลง จึงเริ่มเพิ่มเวลาในการพูดเล่นสนุกสนานเฮฮามากขึ้นจากการทำงาน เพราะส่วนลึกในใจของเขา เตรียมพร้อมที่จะจากไป ดังนั้น เขาจึงไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดกับงานที่ทำอีกต่อไป
3. เงียบ ไม่ออกความคิดเห็นในที่ประชุม
ในการประชุมที่เป็นสาระสำคัญ เมื่อถึงประเด็นสำคัญสำคัญที่เป็นเนื้อหาสาระเกี่ยวกับงานโดยตรง คนกลุ่มนี้ มักจะกระตือรือร้นที่จะพยายามแสดงความคิดเห็น หรือออกความคิดเห็น เพื่อให้ได้ solution หรือคำตอบหรือทางแก้ปัญหาที่ดี เพื่อให้การงานลุล่วง และได้มีประสิทธิภาพสูงสุด แสดงความเห็นดีๆในที่ประชุมเสมอ แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เขาเริ่มไม่พยายามแสดงความเห็น หรือ มีอาการลักษณะเหมือนกับว่า ที่ประชุมว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แต่ต้องแยกแยะให้ออกระหว่าง การเห็นด้วยกับ Solution ที่ดีที่เขาเห็นด้วย กับ การไม่อยากออกความเห็น หรือไม่อยากวุ่นวายจะทำอะไรก็ทำตามที่ประชุมว่า เพราะพวกเขาคิดว่าเขาจะไม่อยู่แล้ว ดังนั้น 2 อาการนี้ จะไม่เหมือนกัน ต้องแยกแยะให้ออกหรือมองให้ออก แต่จะมีความชัดเจนและสังเกตง่ายๆมากสำหรับคนกลุ่มนี้ เพราะเขามีความตรงไปตรงมา
4. จากนักโต้แย้งกลายเป็น “ว่านอนสอนง่าย”
ปกติจากคนที่เคยมีการโต้เถียงกับเจ้านายในเรื่องของการทำงาน เพราะเขามีความคิดเห็นของเขา มีความเชื่อมั่นในตัวของเขา และเป็นคนที่ไม่สามารถครอบงำได้ง่าย จึงมักจะมีการโต้เถียงในเรื่องการทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ และหวังผลให้งานออกมาดี แต่เมื่อวันหนึ่ง เขาเป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย ไม่โต้เถียงใดๆ เจ้านายพูดอะไรมาก็เห็นตามด้วยตลอด นั่นคือ สัญญาณอันตรายแล้วว่า คนกลุ่มนี้จะตัดสินใจลาออกไปแล้วเพราะเกิดความเบื่อหน่ายในการที่จะทำอะไรให้มันดีขึ้น ปล่อยให้เจ้านายรับชะตากรรมต่อไปจากสิ่งที่เจ้านายตัดสินใจ แม้เขาจะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ผิด แต่เขาก็ปล่อยให้มันผ่านไปง่ายๆ เพราะไม่มีความหมายอะไรกับเขาอีกต่อไปแล้ว
5. รู้สึกอิ่มตัวกับงาน Routine
กลุ่มที่อาจจะไม่มีปัญหาใดๆ ในการทำงานปัจจุบัน แต่เป็นปัญหาของความรู้สึกอิ่มตัวในสิ่งที่ทำ ไม่มีความรู้สึกว่า มีสิ่งที่ท้าทายให้น่าทำอีกต่อไป เพราะเขาทำทุกอย่างได้สำเร็จ และประสบความสำเร็จยาวนานต่อเนื่อง จนสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นงานธรรมดา หรืองาน Routine ที่เขารู้สึกว่า ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ความสามารถของเขาขนาดนี้ในการทำงานนี้อีกต่อไป เขาเริ่มจะมองหาสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทาย เพื่อจะปลดปล่อยพลังงานและศักยภาพที่เขามีอยู่ ให้ได้ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น งานที่น่าเบื่อ จำเจ ที่เขาคุ้นมือ และทำได้อย่างดี จึงจะเป็นสัญญาณอีกอย่างหนึ่ง ที่บ่งบอกว่า เขาเริ่มอิ่มตัว และพร้อมที่จะจากไป เพื่อหาสิ่งใหม่ๆที่ท้าทายได้ดีกว่า
6. ไม่เห็นอนาคตความก้าวหน้า (Career Path)
รู้สึกเหมือน ไม่มีอนาคตที่จะเติบโตต่อไปในหน้าที่การงานเนื่องจากองค์กรไม่ได้มีการพัฒนา หรือเตรียมพร้อม เพื่อรองรับการเติบโตของพนักงานที่มีความสามารถ ให้มองเห็นชัดเจน ถึงอนาคตการทำงาน หรือ Career path ที่ดีที่ชัดเจน
พนักงานกลุ่มนี้ มักจะมองหาองค์กรใหม่ๆ ที่มีโครงสร้างบริษัทหรือมี Caree path ที่สามารถรองรับเขาได้ นี่ก็จะเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้พนักงานกลุ่มนี้ เริ่มคิดที่จะลาออก
7. ความไม่เป็นธรรมในองค์กร
มีความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นในบริษัท ทำให้พนักงานกลุ่มนี้ ไม่สามารถยอมรับได้กับความไม่ยุติธรรม เพราะคนกลุ่มนี้ เป็นคนที่ยึดถือความถูกต้อง ยึดถือความสามารถเป็นหลัก ดังนั้น ความเป็นธรรมในองค์กร จึงเป็นสิ่งสำคัญในสายตาของเขาเพราะหากไม่มีความเป็นธรรมแล้ว โอกาสที่เขาจะเติบโตก้าวหน้าก็ยิ่งยาก เพราะคนกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ไม่เอาออกใจเจ้านาย ไม่สร้างภาพ เน้นการทำงาน หากการประเมินผลงานหรือการพิจารณาเลื่อนตำแหน่ง ไม่มีความเป็นธรรม ไม่ได้อ้างอิงถึงหลักการอย่างจริงจังแล้ว เน้นความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นหลัก หรือภาพของคนที่จะได้รับการพิจารณาภายนอกเป็นหลัก แทนเนื้อหาการทำงาน หรือความสามารถที่แท้จริง คนกลุ่มนี้ จะไม่ทนและจะจากไป เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่า ที่ไหนก็ต้องการคนแบบเขาเข้าไปทำงาน ถ้าหากองค์กรนั้น เป็นองค์กรที่เน้นเรื่องความสามารถในการทำงานมากกว่าความสัมพันธ์ในการทำงาน
👉วิธีรับมือและแก้ไข Quiet Quitting
แนวทางการแก้ไขที่จะพยายามดึงให้คนกลุ่มนี้ยังอยู่กับองค์กรไปอีกสักระยะหนึ่ง

1. พูดคุยเปิดใจ
รีบเข้าไปพูดคุยให้ทราบถึงปัญหาที่แท้จริง และทำความเข้าใจกับเขาให้ชัดเจนว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ที่เขาเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือไม่พึงพอใจนั้น มีคำอธิบายอย่างไร และเพื่อให้ทราบว่าความไม่พอใจของเขาที่แท้จริงนั้น คืออะไร
2. มอบหมายงานใหม่ที่ท้าทาย
จัดหางานที่มีความท้าทายใหม่ๆ ให้เขารับผิดชอบ สิ่งนี้ จะเป็นเหมือนยาชูกำลัง หรือยารักษาใจ ให้เขารู้สึกว่า ตัวเองมีคุณค่า มีความสามารถเป็นความหวังขององค์กรให้เขาเกิดความภาคภูมิใจ และอยู่ต่อไป เพื่อจะสร้างผลงานที่เขาต้องการให้กับองค์กรและตัวเขาเอง และเติมเต็มความต้องการส่วนตัวของเขา ในเรื่องของความกระหายความสำเร็จที่มาจากความสามารถในการทำงานของเขา
3. สร้างความยุติธรรมเรื่องผลตอบแทน
ปรับตำแหน่งหรือเงินเดือนให้กับเขา เพื่อให้เขารู้สึกถึงความยุติธรรมในเรื่องของผลตอบแทน และอนาคตหน้าที่การงานที่ดีซึ่งสิ่งนี้ อาจจะดูเหมือนทำให้ต้นทุนของบริษัทเพิ่มขึ้น แต่อย่างไงก็ตาม ยังน้อยกว่าต้นทุนที่เราต้องสูญเสียเขาไป และเริ่มพัฒนาคนใหม่ๆ ซึ่งยังไม่แน่ใจว่า อีกนานแค่ไหน จึงจะมาทำงานแทนเขาได้อย่างแท้จริง
💬ป้องกัน Quiet Quitting ก่อนสาย
Quiet Quitting ไม่ใช่การลาออกทันที แต่เป็นสัญญาณเตือนที่หัวหน้าต้องจับตา หากละเลย พนักงานที่มีศักยภาพอาจตัดสินใจจากไปอย่างถาวร การสร้างบรรยากาศที่ ยุติธรรม เปิดโอกาสพัฒนา และมีความท้าทายใหม่ ๆ คือกุญแจสำคัญในการรักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กรต่อไป

