07ก.ค.

การเพิ่มขึ้นของ New Collar Jobs

ในยุคสมัย ในอดีตนั้น ส่วนใหญ่ จะเป็นคนที่มีคุณสมบัติที่มีความรอบรู้ ซึ่งจะแบ่งเป็นออก 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

1. กลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับด้านใช้สมอง หรือสติปัญญา หรือการวางแผนเป็นหลัก

2. กลุ่มที่ลงมือทำหน้างานเป็นหลัก

ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ ส่วนใหญ่จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน คนที่มีคุณสมบัติหน้างานเป็นหลัก มักจะเป็นคนที่เชี่ยวชาญในสิ่งที่ตัวเองทำ แต่อาจจะขาดความสามารถในการวิเคราะห์ วางแผน หรือแก้ปัญหา จึงต้องมีอีกกลุ่มหนึ่ง เข้ามาช่วยทำงานในส่วนนี้ นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า ในอดีตเทคโนโลยี หรือเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ยังไม่มีมากเพียงพอ

งาน 2 ส่วนนี้ จึงไม่สามารถที่จะเป็นคนใดคนหนึ่ง ที่จะสามารถทำได้ทั้ง 2 ส่วนในเวลาเดียวกัน แต่ในปัจจุบันนี้ สถานการณ์ของโลกเปลี่ยนไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ และเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ๆที่ถูกพัฒนาขึ้นมา จึงทำให้ New Collar Job จะมีลักษณะรูปแบบใหม่ดังต่อไปนี้

1. New Collar Job เป็นคนที่ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาอีกต่อไป

หมายถึง วุฒิปริญญาตรี สมัยก่อนเราเรียนหนังสือหรือเรียนปริญญาตรีมากมาย 148 หน่วยกิตเป็นอย่างต่ำ เรียนหลากหลายวิชามาก เพื่อให้เรามีความรอบรู้ในหลายศาสตร์ เพื่อจะเป็นพื้นฐานในการไปทำงานต่อได้ในอนาคต แต่ในปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เครื่องไม้เครื่องมือที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น จะช่วยทำให้งานหลายอย่างที่เราไม่จำเป็นต้องรู้ แต่ต้องทำในอดีตลดจำนวนลง

นั่นหมายความว่า คนที่ทำงานในปัจจุบันนี้ อาจจะมีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องเรียนวิชาอื่นๆประกอบ แต่ขอให้มีความรู้ความสามารถเชี่ยวชาญในวิชานั้นๆอย่างแท้จริงในสาขาเดียว หรืองานเดียวที่ต้องรับผิดชอบ แล้วใช้เครื่องมือที่ รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ เป็นตัวช่วยในการทำงานให้สำเร็จ

ความรู้ในมุมเดียวที่ชัดเจนลึกซึ้ง บวกกับเครื่องมือที่ทันสมัย และเทคโนโลยีที่ดี จะทำให้คนคนหนึ่งสามารถทำงานนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องรู้ในเรื่องอื่นๆเลย

2. ยุคนี้เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร

ในอดีตการรวบรวมข้อมูลนั้นทำได้ยากมาก ต้องใช้เวลามาก และไม่มีการเก็บข้อมูลเป็นฐานข้อมูลไว้เหมือนปัจจุบัน ในโลกปัจจุบันมีการสร้างฐานข้อมูลรองรับไว้มากมาย สะสมไว้ให้ค้นหาหรือดึงมาใช้ได้ตลอดเวลา เพราะมีแหล่งที่เก็บข้อมูลไว้อย่างดีเยี่ยมไว้สำหรับอ้างอิง

ปัจจุบันจึงเป็นยุคของข่าวสารข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทุติยภูมิที่เป็นข้อมูลเก่าที่เขาเก็บรวบรวมไปให้เป็นแนวทาง หรือข้อมูลปฐมภูมิที่เก็บโดยตรงจากหน้างานหรือเนื้องานโดยตรง ซึ่งในอดีตปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นยังมีน้อยอยู่ ประกอบกับเครื่องมือที่จะใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล และเทคโนโลยีต่างๆ ยังไม่ดีพอ แต่ในปัจจุบันมีความพร้อมทุกอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น เพียงแค่เราเก็บข้อมูลปฐมภูมิให้ถูกต้อง เราก็จะสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ช่วยแปลความหมายของข้อมูล และเสนอแนวทางในการนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหา หรือวางแผนได้

โดยที่ผู้ที่ทำการวิเคราะห์ข้อมูลนั้น เป็นผู้ที่มีความรู้ลึกซึ้ง ในการแปลความหมาย หรือการเลือกใช้เครื่องมือ หรือการเลือกใช้วิธีการในการวิเคราะห์ข้อมูล แล้วนำมานำเสนอเป็นแนวทางแก้ไขได้

ดังนั้น ในปัจจุบันคนที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล หรือส่วนหนึ่งของ New Collar Job จึงเป็นคนที่เป็นความต้องการขององค์กรเป็นอย่างสูง เพราะเป็นยุคของการแข่งขันกันด้วยข้อมูล และความรวดเร็วในการตัดสินใจอย่างถูกต้อง บนพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้องและวิธีการที่ถูกต้อง

3. การศึกษาในแนวกว้างไม่จำเป็นอีกต่อไป

สำหรับการทำงานในอนาคต คนที่เรียนมาในยุคสมัยก่อนจะรู้ดีว่า บางอย่างเราเรียนมากเกินไปและไม่จำเป็นต้องเรียนเลย เพราะสุดท้ายเราไม่ได้ใช้อะไรมันเลย โดยเฉพาะยิ่งเวลาทำงาน เราจะใช้ความรู้ที่เหมาะสำหรับการทำงานที่อยู่หน้างานเราเท่านั้น ดังนั้น การศึกษาในอนาคต จึงเน้นแนวลึกไม่ใช่แนวกว้างอีกต่อไป เมื่อทุกคนมีความรู้แนวลึกและรู้อย่างลึกซึ้ง และมีหน้าที่ ที่จะต้องทำงานหน้าเดียว จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด เพราะทุกคนโฟกัสลงไปเนื้องานเดียวแต่รู้จริง

ในส่วนอื่นๆ ก็จะเป็นหน้าที่ของคนอื่น ที่เขาจะต้องไปเรียนรู้หน้างานในส่วนนั้นอย่างลึกซึ้งเช่นกัน นั่นหมายถึง จิ๊กซอว์แต่ละตัวนั้นเป็นจิ๊กซอว์ที่มีประสิทธิภาพ และคุณภาพสูงสุด เมื่อมาต่อรวมกันเป็นภาพใหญ่ก็จะได้ภาพใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพสูงสุดเช่นกัน จะเป็นภาพใหญ่ที่สมบูรณ์แบบขึ้น

ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นของ New Collar Job

เนื่องจากในปัจจุบันนั้น การทำงานจะเป็นลักษณะเฉพาะตัวมากขึ้นไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น เพราะเป็นเรื่องของการทำงานเฉพาะหน้าและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในแต่ละงานที่ทำ ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ก็คือ

1. การสื่อสารมีประสิทธิภาพลดลง

มนุษย์เราก็จะเริ่มมีการสื่อสารกันน้อยลง หรือสัมพันธ์กันน้อยลง เพราะไม่ต้องไปยุ่งกับคนอื่นมากนัก ทำเฉพาะงานของตัวเองให้สำเร็จ จึงเป็นที่มาของปัญหาเรื่องการสื่อสารในองค์กร หรือการสื่อสารระหว่างกันในการทำงานของแต่ละทีม หรือแต่ละหน้าที่งานของแต่ละหน่วยงาน สิ่งที่จำเป็นที่จะมาทดแทนการเรียนรู้วิชาอื่นๆ ที่อาจจะไม่ได้ใช้ อาจจะต้องชดเชยด้วยการเรียนรู้เรื่องการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ตรงประเด็นและมีทักษะในการสื่อสาร เพื่อให้งานดำเนินการไปได้ เนื่องจากทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองจึงไม่มีความรู้สึกว่าจะต้องกังวล หรือแคร์กับแผนกอื่น หรือหน้าที่ของคนอื่นๆ เพียงตัวเองทำหน้าที่ตัวเองให้สำเร็จแล้วก็จบ ส่วนของคนอื่นก็ทำหน้าที่ของคนอื่นให้สำเร็จไป จึงทำให้เกิดปัญหาเรื่องการสื่อสารขึ้นมาทันที เพราะทุกคนไม่สนใจคนอื่นอีกต่อไป

ซึ่งแตกต่างจากในอดีต ที่จะต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม งานของเราจะต้องรองานของคนอื่นเพื่อสัมพันธ์กัน ไม่สามารถเสร็จในงานของเราได้ด้วยตัวเราเองเท่านั้น จึงทำให้คนมีความอดทน และมีการสื่อสารหรือมีความพยายามที่จะสื่อสารกันเพื่อให้ผลสำเร็จของงานเกิดขึ้นได้ แต่ในปัจจุบัน เหมือนทำงานแบบตัวใครตัวมัน ดังนั้น ปัญหาการสื่อสารจึงเกิดขึ้น ต้องมีการฝึกอบรมมากขึ้นในเรื่องของการสื่อสาร เพื่อให้การสื่อสารกลับไปมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม

2. อารมณ์ของการทำงาน

ด้านอารมณ์ของการทำงาน เนื่องจากทุกอย่างในปัจจุบันสามารถทำได้รวดเร็วและเสร็จสิ้นในระยะเวลาอันสั้น จึงทำให้พื้นฐานทางด้านอารมณ์ของคนที่ทำงานในปัจจุบันนี้มีความอดทนน้อย มีความสามารถในการรอคอยต่ำ เพราะเกิดมาท่ามกลางความรวดเร็วต่างๆที่เกิดขึ้น จึงทำให้เกิดลักษณะ อารมณ์ที่แปรปรวนง่าย ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้เพราะทุกอย่างมันช้าเกินไป ไม่ได้ดั่งใจ ก็จะเกิดความรู้สึกไม่พึงพอใจหรือหงุดหงิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งแตกต่างจากคนสมัยก่อนที่เทคโนโลยี หรือเครื่องมือยังมีน้อย ยังไม่ดีพอ ทุกคนจึงสามารถที่รอได้ เป็นชั่วโมง เป็นวันหรือ เป็นสัปดาห์ แต่ปัจจุบันนี้ ทุกอย่างสามารถ Connect กันได้ภายในเสี้ยววินาที ดังนั้น อารมณ์และความอดทนในการรอ หรือความเข้าใจในความล่าช้าที่อาจจะเกิดขึ้นได้จึงเป็นปัญหาหนึ่งของคนทำงานในยุคปัจจุบันในยุคใหม่

3. การเรียนรู้ที่จะปรับตัว

การเรียนรู้ที่จะปรับตัว ก็จะเป็นอีกปัญหาหนึ่งของการทำงานในยุคใหม่เช่นกัน เนื่องจากปัจจุบันต่างคนต่างอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่ๆจะอยู่ในโลกส่วนตัวสูง เช่น อยู่ในห้องนอนของตัวเอง หรือในห้องทำงานของตัวเอง โดยที่ไม่ได้ทำงานที่ออฟฟิศหรือเรียกว่า work from home ดังนั้น ทักษะในการเรียนรู้ที่จะปรับตัวร่วมกับผู้อื่นจึงอาจจะขาดหายไป เนื่องจาก ไม่จำเป็นต้องสนใจใคร เพราะอยู่ในโลกส่วนตัวในโลกของตัวเอง จะทำอะไรก็ทำได้ตามใจโดยที่ไม่ต้องกังวลว่า รอบข้างก็จะเกิดปัญหาอะไรเหมือนกับการทำงานในออฟฟิศรวมกัน ที่จะต้องมีการระมัดระวังเรื่องของ การอยู่ร่วมกัน ดังนั้น ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นในการทำงานของคนรุ่นใหม่ ก็คือ การเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้อยู่ร่วมกันอย่างมีกติกามีมารยาทและมีความเหมาะสมในการดำเนินชีวิต หรือในการทำกิจกรรมต่างๆภายใต้สถานที่ที่เป็นส่วนกลางของสังคม