21ก.ค.

บริษัทที่เด็กฝึกงานหลงรัก ต้องมีอะไรบ้าง?

ในยุคที่เด็กรุ่นใหม่ไม่ใช่แค่ทำงานเพื่อเงิน แต่ต้องการ การฝึกงานที่มีความหมาย และ สภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนการเติบโต บริษัทที่อยากได้เด็กฝึกงานจึงต้องปรับตัวให้ทัน ไม่ใช่แค่การให้โอกาสในการทำงานเท่านั้น แต่คือการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำเพราะการฝึกงานเปรียบเสมือนประตูบานแรกที่เปิดสู่โลกแห่งอาชีพ แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปคือ บริษัทเองก็เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ในการร่วมสร้างประสบการณ์และบรรยากาศในการฝึกงานที่ดี บริษัทบางแห่งอาจจะสามารถเปลี่ยนเด็กฝึกงานให้กลายเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่พร้อมเข้าสู่โลกการทำงาน และบางบริษัทอาจจะทำให้เด็กฝึกงานคนนั้นหมดหวังและไม่อยากทำงานที่เคยฝึกอีกเลย

คำถามคือ บริษัทแบบไหนกันแน่ ที่เด็กฝึกงานหลงรัก?
คำตอบอยู่ที่รายละเอียดเล็กๆที่สร้างความรู้สึกว่าที่บริษัทแห่งนี้เห็นคุณค่าและใส่ใจจริงๆ แม้ว่าจะเป็นแค่เด็กฝึกงานก็ตาม

1.วัฒนธรรมองค์กรที่เป็นมิตรและเท่าเทียม – หัวใจของบริษัทที่เด็กฝึกงานหลงรัก

สิ่งแรกที่ทำให้เด็กฝึกงานรู้สึกอยากตื่นมาทำงานทุกวัน ไม่ใช่แค่ชื่อเสียงของบริษัท แต่คือบรรยากาศในการทำงานร่วมกับคนในทีมและการได้รับการต้อนรับเหมือนเป็นหนึ่งในสมาชิก

ไม่ใช่คนนอกชั่วคราวสิ่งนี้จะทำให้เขากล้าถาม กล้าแสดงความเห็น และเรียนรู้งานที่ได้รับ

ได้อย่างเต็มที่ การที่บริษัทที่มีวัฒนธรรมไม่แบ่งแยกเด็กฝึกงานจะทำให้พวกเขารู้สึกว่า

“ฉันมีคุณค่า แม้จะยังไม่มีประสบการณ์มาก” นั่นจะทำให้เริ่มรู้สึกว่าผูกพันกับบริษัทในระดับหนึ่ง

2.มีระบบพี่เลี้ยง หรือ การมีMentor ที่ใส่ใจ – ปัจจัยสำคัญในประสบการณ์ฝึกงาน

เด็กฝึกงานไม่ได้ต้องการใครมาคอยดูแลตลอดเวลา แต่ต้องการคนที่ให้คำแนะนำได้เมื่อจำเป็น และคอยชี้นำทางตอนที่รู้สึกว่าหลงทาง การมีพี่เลี้ยงหรือคนที่รับผิดชอบชัดเจน ทำให้พวกเขาไม่รู้สึกถูกปล่อยลอยแพ เพราะเด็กฝึกงานยังไม่มีประสบการณ์ในการทำงานจริงมาก่อน พวกเขาแค่เรียนรู้สิ่งต่างๆมาจากห้องเรียน ซึ่งSoft Skills ของพวกเขายังไม่มากพอ ถ้าเทียบกับพนักงานที่ทำงานมาหลายปี

Mentor ที่ดีจะไม่ใช่แค่โยนงานทิ้งไว้ให้ทำแต่เป็นผู้ที่ถามว่า “มีอะไรที่อยากลองทำไหม?”
เพราะการฝึกงานที่ดี ต้องไม่ใช่แค่สั่งให้ทำแต่ควรเปิดพื้นที่ให้เขาเติบโตยอมรับฟังความคิดเห็น

พวกเขาจะไม่รู้สึกอึดอัดเวลาทำงาน เมื่อพวกเขาสบายใจ นั่นจะเป็นการเปิดทางให้เขาได้เสนอไอเดียใหม่ๆ  มีส่วนร่วมในงานได้มากขึ้น และรู้สึกไม่โดนทอดทิ้งไว้ตามลำพัง

3.ให้โอกาสได้ลงมือทำจริง ไม่ใช่แค่นั่งป้อนเอกสาร – สร้างความหมายให้ประสบการณ์ฝึกงาน

แม้เด็กฝึกงานยังไม่มีประสบการณ์มาก แต่พวกเขาอยากมีส่วนร่วมในการทำงานที่ท้าทายและมีคุณค่ากับบริษัท บริษัทที่ดี ไม่ควรจำกัดบทบาทของเด็กฝึกงานไว้แค่จัดการแฟ้มเอกสาร ถ่ายเอกสาร หรือทำงานรูทีนเท่านั้น พวกเขาอยากมีส่วนร่วมกับงานจริง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม บริษัทที่ให้โอกาสเด็กฝึกงาน

ได้ลองผิด ลองถูกในงานจริง จะทำให้พวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่ฉันทำมีความหมายและยังเป็นโอกาสให้พวกเขา ได้รู้ถึงความถนัดในงานของตนเอง ว่าตนเองถนัดอะไรมากที่สุด เพราะเขาได้วิเคราะห์ ได้ลองวางแผนงาน ได้ลองเสนอไอเดียใหม่ๆ และในทางกลับกัน บริษัทก็ได้เห็นศักยภาพของเขาจริงๆ ไม่ใช่แค่บนกระดาษ และอาจจะยังนำผลงานของพวกเขามาใช้ได้จริงด้วย สร้างความภูมิใจและสร้างประสบการณ์ฝึกงาน

4.มีความยืดหยุ่น – สิ่งที่ทำให้บริษัทเป็นสถานที่ฝึกงานในฝัน

เด็กฝึกงานหลายคนต้องรับผิดชอบงานหลายอย่างพร้อมกัน เช่น นักศึกษาที่มาฝึกงาน อาจจะมีงานที่มหาวิทยาลัยมอบหมายทั้งเรื่องของการสอบ การทำรายงาน หรือมีข้อจัดด้านเวลา พวกเขามักจะชอบบริษัทที่มีความเข้าอกเข้าใจ และมีเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่นหรือสามารถเลือกการทำงานได้ ความยืดหยุ่นนี้จะช่วยให้เด็กฝึกงานสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของบริษัทได้ไวขึ้น เพราะพวกเขาจะมีความผ่อนคลายมากขึ้นและจะเป็นผลดีในการพัฒนาทักษะและความเข้าใจในงานที่รับผิดชอบ

5. Feedback ที่สร้างสรรค์และการประเมินผลการทำงาน – เสริมสร้างความมั่นใจและพัฒนาเด็กฝึกงาน

การได้รับฟีดแบ็กคือโอกาสในการเรียนรู้ แต่เด็กฝึกงานส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองทำได้ดีหรือยัง หรือต้องพัฒนาอะไรอีก เพราะไม่มีใครบอกพวกเขาอย่างจริงใจ ซึ่งเด็กฝึกงานมักจะชอบบริษัทที่ใส่ใจจะให้ฟีดแบ็กแบบตรงไปตรงมา แต่อ่อนโยน เช่น ชมเมื่อเขาทำได้ดี , ตักเตือนเมื่อมีสิ่งที่ควรพัฒนา

ให้ข้อเสนอแนะที่นำไปปรับใช้ได้จริง ไม่ใช่เพียงแค่พูดกล่าวไว้ครึ่งๆกลางๆ นั่นอาจจะทำให้พวกเขาเครียดมากขึ้น ฟีดแบ็กที่ดี = แรงผลักดัน + ความมั่นใจในตัวเองเพิ่มมากขึ้น

ในส่วนของการประเมินผลการทำงานนั้นจะทำให้เด็กฝึกงานมีเป้าหมายในการทำงานมากขึ้น และทำให้พวกเขามีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาการทำงาน เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายเล่านั้น และยังเป็นตัวช่วยชี้ให้บริษัทเห็นว่าเด็กฝึกงานนั้น มีความตั้งใจในงานมากน้อยแค่ไหน

6. มีการเตรียมระบบต้อนรับและกระบวนการชัดเจน – จุดเริ่มต้นที่บริษัทควรมี

บริษัทที่เด็กฝึกงานหลงรักมักจะมี Onboarding สำหรับ Intern โดยเฉพาะ ไม่ใช่แค่พาเดินชมบริษัทวันแรกแล้วจบ แต่เป็นการเตรียม คู่มือสำหรับฝึกงาน , แนะนำทีม/ผู้ที่ต้องประสานงาน ,ตารางฝึกงานและแผนงานเบื้องต้น สิ่งเหล่านี้อาจดูเล็ก แต่คือสัญญาณว่าบริษัทนี้เตรียมตัวมาเพื่อเรา และพร้อมที่จะสอนงานเราจริงๆ

7. สวัสดิการเล็กๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าใส่ใจ – สิ่งที่สร้างความประทับใจ

แม้จะไม่ใช่พนักงานประจำและไม่ได้ค่าตอบแทนสูง แต่บริษัทสามารถแสดงความใส่ใจผ่านสิ่งเล็กๆ เช่น

ข้าวกลางวันฟรี / คูปองอาหาร ,ค่าเดินทาง , เวลาทำงานยืดหยุ่น ,  พื้นที่พักผ่อน หรือแม้แต่การมีชื่อในอีเมลของบริษัท สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กฝึกงานรู้สึกว่าบริษัทไม่ได้มองว่าเรามาทำฟรีๆแต่เป็นคนที่มีบทบาทในที่นี้ ฉันมีตัวตนในที่บริษัทแห่งนี้จริงๆ

8.พื้นที่ปลอดภัยในการแสดงความคิดเห็น – จุดสร้างความไว้วางใจ

หลายครั้งที่เด็กฝึกงานมีมุมมองใหม่ๆ มีไอเดียแปลกใหม่ แต่ไม่กล้าพูด เพราะกลัวว่าจะดูไม่มีประสบการณ์ บริษัทที่เปิดพื้นที่ให้แสดงความคิดเห็นอย่างจริงจัง ฟังโดยไม่ตัดสิน และพร้อมที่จะฟังไอเดียใหม่ๆ จะทำให้เด็กฝึกงานรู้สึกว่าพวกเขามีตัวตนในที่ทำงาน บรรยากาศที่ไม่ใช่แค่ฟังเฉยๆ แต่ฟังแล้วนำไอเดียไปลองใช้ จะเปลี่ยนเด็กฝึกงานให้กลายเป็น ไอเดียพาร์ตเนอร์ในกระบวนการทำงานได้อย่างแท้จริง

9.มอบโอกาสในการพัฒนาและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง – เพิ่มพูนประสบการณ์ฝึกงาน

บริษัทที่มีโอกาสให้เด็กฝึกงานได้เข้าร่วมอบรม เข้าร่วมประชุม สัมมนา หรือกิจกรรมอื่นๆภายในบริษัท นอกจากจะทำให้พวกเขาเรียนรู้งานได้มากขึ้นแล้ว ก็ยังได้เรียนรู้วิธีการคิด กระบวนการการทำงานต่างๆในบริษัทด้วย เปิดโอกาสให้เด็กฝึกงานได้ทำมากกว่าสิ่งที่อยู่ในขอบเขตหน้าที่เล็กน้อย ก็นับว่าเป็นการเปิดประตูให้พวกเขาเติบโตไปไกลกว่าการฝึกงาน

10.ชี้แนวทางอาชีพหลังฝึกงานจบ- บริษัทที่น่ารักย่อมใส่ใจอนาคตเด็กฝึกงาน

เด็กฝึกงานบางคนอาจจะยังไม่แน่ใจว่าอนาคตของตนเองควรเดินไปทางไหน การที่บริษัทมีการพูดคุย ให้คำปรึกษาแนะนำเรื่องสายงานหรือทักษะที่ต้องพัฒนา หรือแม้แต่โอกาสในการกลับมาร่วมงานกันในอนาคต เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างเป้าหมายและแรงบันดาลใจให้พวกเขาได้อย่างมาก

11. โอกาสในการเติบโตในอนาคต – สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กฝึกงาน

สุดท้าย เด็กฝึกงานหลายคนอาจจะฝันอยากได้งานที่บริษัทที่ฝึกอยู่
ดังนั้น บริษัทที่ชัดเจนว่าหากทำดีจะมีโอกาสพิจารณาเป็นพนักงานประจำ หรือให้จดหมายรับรอง/คำแนะนำเพื่ออนาคต หรือชวนเข้าร่วมกิจกรรมอื่นๆ ของบริษัทหลังฝึกงานจบ

สิ่งเหล่านี้คือ “แรงบันดาลใจ” ที่ทำให้พวกเขาอยากทุ่มเทและอยากทำงานที่บริษัทนี้มากขึ้น

เด็กฝึกงานที่ได้รับประสบการณ์ที่ดีจากบริษัทหนึ่ง จะไม่เพียงแต่พูดถึงในทางบวกเท่านั้น แต่ยังอาจกลายเป็นพนักงานที่กลับมาด้วยหัวใจที่พร้อมทุ่มเท หรือกลายเป็นกระบอกเสียงที่ชวนรุ่นน้องมาฝึกงานต่ออย่างภาคภูมิใจ

สรุป

บริษัทที่เด็กฝึกงานหลงรัก ไม่ใช่บริษัทที่ดังที่สุด แต่คือบริษัทที่ใส่ใจที่สุด
เพราะการฝึกงานไม่ใช่แค่การให้โอกาส แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ฝึกงานที่มีคุณค่าให้กับเด็กฝึกงาน บริษัทที่เด็กฝึกงานหลงรัก… สร้างได้ไม่ยาก หากองค์กรใส่ใจและเริ่มฟังเสียงของพวกเขา
หากอยากเป็นหนึ่งในบริษัทที่เด็กฝึกงานหลงรัก… เริ่มต้นได้เลยวันนี้