บทบาทหน้าที่ของ วิศวกรโยธา
วิศวกรโยธา เป็นวิศวกรที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ การก่อสร้างสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ที่เกี่ยวกับ เรื่องของโครงสร้างตัวอาคาร ถนนสะพาน เป็นหลัก

หน้าที่ของ วิศวกรโยธา อย่างกว้างๆ คือ
1. ออกแบบโครงสร้างอาคารถนน หรือ สิ่งปลูกสร้างใดๆ ก็ตาม ทั้งในแนวราบ และแนวดิ่ง ซึ่งต้องใช้ความรู้ ในด้านของวิศวกรรมอย่างถูกต้อง เพราะหมายถึงความปลอดภัย
2. ถอดแบบก่อสร้าง ที่ได้ออกแบบมาแล้วอย่างเรียบร้อยให้ถูกต้องตามมาตรฐานของชิ้นส่วนต่างๆ ที่อยู่ในโครงสร้างทั้งหมดเพราะการออกแบบนั้น ได้ออกแบบมาอย่างรอบคอบถูกต้องแล้ว แต่หากการถอดแบบผิดพลาด ไม่ครบ หรือใช้ชิ้นส่วนวัสดุผิดไปจากมาตรฐานที่กำหนดไว้ในแบบ จะทำให้ประสิทธิภาพความแข็งแรงและความปลอดภัยลดน้อยลง หากเกินจุดที่เผื่อไว้แล้ว หรือที่เรียกว่า ต่ำกว่า Safety Factor ที่กำหนดไว้ จะทำให้โครงสร้างเหล่านั้นอยู่ในอันตรายทันที
3. ตรวจสอบสภาพการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบที่กำหนดไว้ทั้งจำนวน ปริมาณ มาตรฐาน ให้ตรงตามแบบ คำว่าตรงตามแบบหมายถึง ตรงตามที่ออกแบบมาจริงๆ ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานหรือไม่เกินมาตรฐาน เพราะหากเกินมาตรฐาน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี ยกตัวอย่างเช่น เขาให้ใช้เหล็กหนา 10 มม แต่หวังดี ใช้เหล็กที่หนาเกิน 10 มิลไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างบานปลายและที่สำคัญ คือ การรับน้ำหนักไม่ได้ถูกออกแบบไว้ให้รับเหล็กที่มีความหนามากกว่า 10 มิล จึงเป็นภาระให้กับโครงสร้าง และทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดความล้มเหลวของโครงสร้างได้ ดังนั้น ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแบบที่ออกแบบไว้จึงจะปลอดภัย
4. ในเรื่องของใต้ดิน ก็เป็นสิ่งสำคัญ งานของ วิศวกรโยธา บางงาน ก็จะเป็นผู้ชำนาญการเฉพาะทางด้านในสิ่งที่อยู่ในดิน เช่น การทำ Soil Test เพื่อตรวจสอบสภาพดินว่า มีความเหมาะสมที่จะก่อสร้างได้หรือไม่ หากสภาพดินไม่ดีพอ ก็ต้องมีการลงเสาเข็มให้มั่นคงถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลัง เพราะโครงสร้างของอาคารทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ตัวตึก หรือตัวสะพาน จะวางอยู่บนดินและบางส่วนฝั่งอยู่ใต้ดิน ดังนั้น หากใต้ดินมีปัญหา โครงสร้างข้างบนก็มีความเสี่ยงที่จะเสียหายหรือพังทลายลงมาได้
5. หลังจากที่โครงสร้างต่างๆ ได้ถูกเปิดใช้งานแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่าง คือ การทำการซ่อมบำรุงตามระยะเวลาการใช้งานเนื่องจาก ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการซ่อมบำรุงอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้มีความสมบูรณ์ หรือปลอดภัยในการใช้งานตามที่กำหนดไว้ในแบบตั้งแต่ต้น และที่สำคัญคือ การใช้งานที่เกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ เช่น การบรรทุกหนักเกินกว่าการออกแบบรองรับได้ ย่อมทำให้ถนนเสียหาย หรือ เกิดการทรุดตัวได้ ทำให้เกิดอันตรายสำหรับการใช้ถนนร่วมกันในภาพรวม
6. ในด้านการวิจัยและพัฒนางานทางด้านโครงสร้าง ก็เป็นอีกงานหนึ่งที่ วิศวกรโยธา จะทำได้ เช่น การทดสอบวัสดุใหม่ๆ ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีต้นทุนที่ถูกลง เช่น การใช้โครงสร้างเหล็กมาสร้างบ้านแทนการใช้ปูนหรืออิฐ ก็เป็นอีกงานหนึ่งที่วิศวกรโยธาสายงานวิจัย สามารถเรียนรู้พัฒนา โดยอาศัยความรู้ทางด้านการคำนวณทางด้านวิชาการ และเปรียบเทียบการใช้งานของวัสดุก่อสร้าง 2 แบบว่าจะทดแทนกันได้อย่างไร
7. ในด้านงานขาย วิศวกรโยธา บางคนอาจจะชอบทำงานเกี่ยวกับการขาย ก็สามารถจะไปเป็นเซลล์ขายวัสดุให้กับโครงการต่างๆ ทำงานร่วมกับสถาปนิก เพื่อกำหนดการออกแบบ และตำรวจมาตรฐานของอุปกรณ์ หรือวัสดุต่างๆที่ต้องใช้ในการออกแบบและการก่อสร้างจริง จึงเป็นอีกอาชีพหนึ่งของ วิศวกรโยธา ที่อาจจะไม่ได้ทำงานหน้างานโดยตรง แต่สามารถใช้ความรู้ทางด้านวิศวกรรมโยธา มาเชื่อมโยงกับงานขาย และทำงานร่วมกับฝ่ายต่างๆได้ ซึ่งส่วนใหญ่คนที่ทำงานในลักษณะนี้ ก็จะไปเปิดกิจการของตัวเองเป็นนร้านวัสดุก่อสร้างในระยะยาว

วิศวกรโยธา เหมาะกับใครบ้าง
1. เหมาะกับคนที่ชอบทำงานในลักษณะของการอยู่กับหน้างานตลอดเวลา เพราะงาน วิศวกรโยธา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเทปูนนั้น เมื่อถึงกำหนดต้องเท ก็ต้องอยู่หน้างานตลอด มิฉะนั้น จะเกิดความเสียหายภายใน 3-5 ชั่วโมง เนื่องจากปูนแข็งตัว เราจึงจะสังเกตได้ว่า คนที่ทำงานเป็นวิศวกรโยธา มักจะทำงานไม่มีเวลาแน่นอนขึ้นอยู่กับตารางงานของโครงการนั้นๆ ว่า ถึงเวลาที่จะต้องทำงานส่วนใดแล้ว บางส่วนรอได้ บางส่วนต้องทำทันทีไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน และต้องทำให้เสร็จภายในจำนวนชั่วโมงที่จำกัด เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐานวิศวกรรม
2. เหมาะกับคนที่ชอบอยู่กับรายละเอียดมากมาย และเป็นคนที่มีความละเอียดในการดูแบบในการคำนวณ และมีความละเอียดในการตรวจสอบความถูกต้องความปลอดภัยในการก่อสร้าง ให้เป็นไปตามมาตรฐานตามแบบอย่างถูกต้องชัดเจน
3. เป็นคนที่ต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เพราะงาน วิศวกรโยธา เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ตั้งแต่คนงานที่ทำหน้าที่ก่อสร้างหน้างาน ไปจนถึงผู้ควบคุมงาน ไปจนถึงผู้ออกแบบ ผู้ตรวจสอบ ตัวแทนเจ้าของเจ้าของ และเจ้าหน้าที่ทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง หรือกฎหมายต่างๆ ดังนั้น จึงต้องเป็นคนที่มีความอดทนในการประสานงานกับ คนหลากหลายกลุ่มหลากหลายลักษณะ เพราะแต่ละคนก็มีบทบาทของตนเอง ที่จะต้องทำให้ถูกต้อง ย่อมต้องเกิดความขัดแย้งในการทำงานอย่างแน่นอน
4. ต้องเป็นคนที่ตรงไปตรงมา เพราะลักษณะงานของ วิศวกรโยธา มีความเสี่ยงที่จะเจอกับผู้รับเหมาบางคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าความถูกต้อง เห็นกำไรสำคัญกว่าความปลอดภัย ซึ่งในวงการนี้ จะมีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นจริง ดังนั้น คนที่เป็น วิศวกรโยธา ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะผู้ประกอบก่อสร้างเอง หรือ ผู้ตรวจสอบคุณภาพในการก่อสร้าง หรือผู้ควบคุมความถูกต้องในการก่อสร้างจึงต้องเป็นผู้ที่ควรยึดมั่นในความถูกต้องตามแบบมาตรฐานที่กำหนดไว้เป็นหลัก เพราะนั่นหมายถึง หลังจากก่อสร้างไปแล้ว เปิดใช้งานไปแล้ว ผู้ที่มาใช้งานในอาคารต่างๆ จะอยู่ในความเสี่ยงตลอดเวลา หากการก่อสร้างนั้น ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่ควรจะเป็นอย่างจริงจัง ด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม หากเกิดการพังทลายของตัวอาคารลงมา นั่นหมายถึง ความสูญเสียมหาศาลที่ไม่อาจเปรียบเทียบเป็นมูลค่าทางการเงินได้
ดังนั้นจุดยืนบนความถูกต้องของ วิศวกรโยธา จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ต้องยอมรับความจริงว่า ในชีวิตการทำงานจริงๆ นั้นมันจะมีเหตุการณ์แบบนี้ทุกๆ ครั้ง ทุกๆโครงการที่มีการก่อสร้างจริงหรือเปล่า
5. เป็นคนที่ต้องมีความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต หรือการพักอาศัยเพราะลักษณะงานของ วิศวกรโยธา นั้น จะต้องขึ้นอยู่กับไซต์งานตลอดเวลา ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่อยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับโครงการว่า จะเกิดขึ้นที่ใด ไม่ว่าจะเป็นการสร้างถนน สร้างสะพานหรือสร้างตัวอาคาร จึงไม่ใช่งานที่จะอยู่กับที่ตายตัวตลอดไป ถ้าเป็นคนที่ไม่ชอบเคลื่อนย้าย หรือไม่ชอบย้ายที่อยู่ ก็จะไม่เหมาะกับงานวิศวกรโยธา ที่เป็นผู้ควบคุมงานหน้างานอย่างแท้จริง เพราะต้องเปลี่ยนที่อยู่บ่อยๆ
6. ถ้าหากเป็นคนที่ชอบอยู่กับที่ ไม่ชอบเคลื่อนย้ายไปไหนบ่อยๆ ก็อาจจะต้องเป็น วิศวกรโยธา ในฝ่ายที่เป็นเชิงวิชาการ เช่น เป็นผู้ออกแบบ หรือเป็นผู้ตรวจสอบการก่อสร้าง ซึ่งจะทำงานประจำอยู่ที่ออฟฟิศ หรือที่ใดที่หนึ่งเป็นหลัก อาจจะมีการไปตรวจงานบ้างเป็นครั้งคราว แต่จะไม่ได้ประจำอยู่ที่หน้างานตลอดไป ดังนั้น คนที่มีลักษณะแบบนี้ จึงเหมาะกับงานเชิงวิชาการ อย่างงานวิจัยที่อยู่กับที่ตลอดเวลา
7. ถ้าหากเป็นคนที่ชอบพบปะผู้คน ชอบเดินทาง และชอบทำธุรกิจ ก็เหมาะที่จะเป็น วิศวกรโยธา ที่ทำหน้าที่ขายวัสดุก่อสร้างต่างๆ ให้กับผู้ออกแบบหรือผู้รับเหมาทั่วไป ซึ่งเริ่มต้นด้วยการเป็นเซลล์ขายวัสดุก่อสร้าง และสุดท้ายปลายทาง ก็นำไปสู่การเปิดร้านขายวัสดุก่อสร้างของตนเอง

ในส่วนของเรื่องเงินเดือนนั้นขึ้นอยู่กับว่าจะทำอยู่ในสาขาใดเป็นหลัก
1. ถ้าเป็นวิศวกรโยธา ที่คุมหน้างาน อาจจะมีเงินเดือนสูงกว่าวิศวกรที่อยู่ประจำออฟฟิศ เนื่องจาก อาจจะมีเรื่องของเบี้ยเลี้ยง และเรื่องของ ค่ากันดารในการไปอยู่ตามไซต์งานต่างๆ แต่ก็ต้องแลกกับ การย้ายหลักแหล่งที่อยู่อาศัยอยู่เป็นระยะๆ ตามโครงการที่เกิดขึ้นในพื้นที่ใดๆ ก็ตาม
2. ถ้าเป็น วิศวกรโยธา ที่เกี่ยวกับงานด้านการตรวจสอบงานของผู้รับเหมาอีกทอดหนึ่ง ก็อาจจะมีเงินเดือนตามความเหมาะสม แต่อาจจะไม่มากเท่ากับ วิศวกรโยธา ที่ควบคุมงานโดยตรง ยกเว้นกรณีที่เคยเป็นวิศวกรที่ทำงานหน้างานมาก่อน แล้วผันตัวเองมาเป็นวิศวกรที่ควบคุมผู้รับเหมาอีกทอดนึง อาจจะมีเงินเดือนที่สูงกว่าปกติได้ เนื่องจากมีประสบการณ์ทางหน้างานมาก่อน จึงทำให้การทำงานในเชิงวิชาการ ควบคุมความถูกต้องในการก่อสร้างนั้น เกิดประสิทธิภาพและความแม่นยำจากประสบการณ์ทำงานหน้างานจริงที่ผ่านมา
3. ถ้าเป็น วิศวกรโยธา เกี่ยวกับการขาย เรื่องของรายได้ไม่สามารถประเมินได้ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการขายสินค้าและค่าคอมมิชชั่นที่ได้รับจากการขายสินค้าให้โครงการต่างๆ รวมไปจนถึงการเปิดบริษัทของตัวเอง เป็นเจ้าของกิจการ ก็จะมีรายได้ที่ไม่แน่นอน อาจจะสูงจนไม่สามารถคาดการณ์ได้ เพราะเป็นเรื่องของยอดขายที่ขึ้นอยู่กับการทำงานของเจ้าของกิจการนั้นๆ
แต่ไม่ว่าจะเป็น วิศวกรโยธา ในสาขาใด ทำหน้าที่ใดก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ จรรยาบรรณของการทำงาน ที่ต้องยึดความถูกต้องของการออกแบบให้ได้ทำตามแบบอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของเจ้าของทรัพย์สิน และผู้ที่มาใช้บริการในอาคารสถานที่ หรือท้องถนน ที่ได้ทำการก่อสร้างเสร็จไปแล้ว