พนักงานเก่งคืออะไร ต้องรับมือยังไงกับคนเก่งแต่ละประเภท
การรักษาพนักงานเก่งๆให้อยู่กับองค์กรได้นานที่สุดเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จและความก้าวหน้าของบริษัท สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องตระหนักอยู่เสมอ ก็คือ พนักงานเก่งๆจะไม่อยู่กับเราตลอดไป เรามีหน้าที่รักษาเขาไว้ให้อยู่กับเรานานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เรามาดูกันว่าพนักงานเก่งๆ เป็นอย่างไร

👉ประเภทที่ 1 พนักงานเก่งๆ มักจะชอบทำงานมากกว่าพูด เพราะเขาให้คุณค่าของความสำเร็จอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าพนักงานคนนั้น มีความสามารถเฉพาะตัวสูง เราอาจต้องจัดงานให้เขาเป็นลักษณะงานที่สามารถทำคนเดียวได้สำเร็จ และพึ่งความสามารถของเขาเป็นหลัก เพราะ หากเราให้เขาไปทำงานกับพนักงานที่มีความเร็วและความทุ่มเทไม่เท่ากัน มันอาจจะทำให้เขารู้สึกอึดอัดและไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้ทันเวลาตามที่เขาต้องการในที่สุด เขาก็จะเกิดความเบื่อหน่ายและไม่อยากทำงานต่อไป ปัญหาตรงนี้ต้องระมัดระวังให้ดีเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมี 2 อย่างคือ
- ทีมงานเขาต้องปรับตัวให้เข้าสู่มาตรฐานของเขาให้ได้
- หรือพนักงานคนนั้นอาจต้องลดมาตรฐานของเขาลงมาเพื่อให้ทีมงานตามเขาได้ทัน

👉ประเภทที่ 2 พนักเก่งๆที่มีทักษะในการประสานงานดี ถือว่า เป็นพนักงานที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมอีกประเภทหนึ่ง เพราะพนักงานคนนี้จะทำงานเก่งและประสานงานเก่ง เขาจะมีความอดทนมากกว่าพนักงานประเภทแรก เพราะเขาเข้าใจว่า พนักงานคนอื่นอาจจะตามเขาไม่ทันเขาจึงสามารถที่จะรอได้ และลดความคาดหวังลงให้มาสู่มาตรฐานที่เป็นจริงในชีวิต
พนักงานกลุ่มนี้อาจจะมีความรู้สึกว่า ถ้าต้องการผลงาน 100% ต้องลงมือทำเองทุกอย่าง แต่หากให้คนอื่นช่วย ผลงานอาจจะออกมาที่ 70%-80% ซึ่งเขาถือว่ายอมรับได้ ดังนั้น หากเรากำหนดให้พนักงานคนเก่งคนนี้เป็นหัวหน้าทีม เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ผลงานที่ออกมาอาจจะไม่เต็ม 100% เทียบกับการที่เขาต้องทำเองเหมือนกับพนักงานคนเก่งในประเภทที่ 1 ที่กล่าวมาแล้ว

👉พนักงานเก่ง ประเภทที่ 3 คือ พนักงานที่เก่งเรื่องคน แต่ไม่เก่งเรื่องงาน คนนี้จะมีความสามารถพิเศษในการประสานงานและโน้มน้าวให้คนสามารถทำงานให้บรรลุเป้าหมายได้ แม้ตัวเขาเองอาจจะไม่มีความเก่งในเรื่องนั้นๆอย่างลึกซึ้ง แต่สามารถเข้าใจพื้นฐานหรือหลักการเบื้องต้นและความต้องการของเป้าหมายที่องค์กรอยากได้ แต่ต้องอาศัยการทำงานของทีมงาน เพื่อให้ได้เป้าหมายที่ต้องการในที่สุด ผ่านกระบวนการกระตุ้นและประสานงานของหัวหน้าทีม
ลักษณะของพนักงานคนเก่งประเภทนี้ จะเป็นคนที่มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์และมีความอดทนสูงและรอได้ แต่ต้องทำใจอย่างหนึ่งว่า ผลงานที่ได้นั้นอาจจะใช้เวลานานกว่าปกติ เนื่องจากเป็นการรวมตัวของคนที่อาจจะไม่มีความพร้อมในทุกด้านมารวมตัวกันเพื่อทำสิ่งหนึ่งพร้อมกัน จึงต้องใช้เวลามากกว่าปกติ กว่าผลลัพธ์จะออกมาได้ตามที่ตั้งใจ

👉พนักงานประเภทที่ 4 คือ คนที่เก่งในเรื่องของการวางแผนในภาพรวมขององค์กร ซึ่งคนเก่งกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่มักจะมีความสามารถในเรื่องของวิชาการ การวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ และถนัดที่จะทำงานแบบคนเดียว แต่มุ่งเน้นไปที่เรื่องของการวิจัยการดำเนินงาน การรวบรวมข้อมูลเป็นเชิงลักษณะนักคิดมากกว่านักลงมือทำ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีความสามารถนะ เพราะนักคิดหลายคนมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการพิจารณาวางแผน เก็บข้อมูล วิเคราะห์และกำหนดแนวทางที่ควรจะเป็น
ดังนั้น เขาจึงไม่มีเวลาส่วนใหญ่ในการไปลงมือทำ ทำให้ความสามารถในการลงมือทำของเขามีน้อย เพราะเวลาส่วนใหญ่หรือประสบการณ์ส่วนใหญ่ของเขามาจากการใช้ความคิด แต่เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของเขามาจากการใช้ความคิด การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ จึงทำให้เขามีความเก่งเชียวชาญในเรื่องของความคิดซึ่งส่วนใหญ่ พนักงานที่เก่งในการลงมือทำก็จะไม่ค่อยมีทักษะชั้นเยี่ยมในเรื่องของการคิดและวางแผน แต่ถนัดที่จะลงมือทำตาม ที่มีคำแนะนำหรือมีข้อกำหนดมาให้มากกว่า จึงถือว่าพนักงานเก่งกลุ่มนี้ เหมาะสำหรับงานเชิงวิชาการ งานนโยบายและงานวางแผน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญขององค์กรเช่นกัน เพราะ หากวางแผนไม่ถูกต้อง กำหนดนโยบายที่ผิด ต่อให้ลงมือทำเก่งเพียงใด ก็จะไม่ได้ผลลัพธ์ในสิ่งที่ต้องการหรืออาจจะเรียกว่าหลงทางไปเลยยิ่มได้

👉พนักงานประเภทสุดท้าย คือ พนักงานที่เก่งในการรวบรวมผลงานต่างๆของพนักงาน 4 ประเภทแรกออกมา แล้วมาสรุปเป็นภาพรวมให้เกิดประโยชน์ สามารถนำไปใช้เป็นแผนรวมขององค์กรได้ อย่าคิดว่าพนักงานกลุ่มนี้ ไม่มีความดีหรือไม่มีความสามารถอะไรนะครับ เพราะการที่เขาสามารถรวบรวมผลงานของพนักงานเก่งๆ ทั้ง 4 คนมา แล้วมาสรุปรวมให้ตกผลึกเป็นจิ๊กซอว์ที่ต่อกันอย่างสมบูรณ์ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขาต้องใช้ความพยายามในความเข้าใจในความเก่งของพนักงานแต่ละคนใน 4 กลุ่มแรก แล้วหาผลรวมที่ลงตัว ที่ตกผลึกเป็นผลงานรวมชั้นเยี่ยมที่สุด จากทุกฝ่ายมาเป็นผลงานหลักขององค์กร เป็นเข็มทิศที่ถูกทาง
ดังนั้น พนักงานเก่ง ๆ ประเภทที่ 5 นี้ ต้องให้พนักงานเก่งๆ ที่ทั้ง 4 ประเภท เข้าใจในบทบาทของเขา มิฉะนั้น จะเกิดการต่อต้านว่า พนักงานคนที่ 5 นี้ ไม่ทำอะไรเลย นอกจากหยิบผลงานของคนอื่นมานำเสนอเป็นผลงานของตนเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว การผสมผสานของ 4 ผลงาน จากพนักงาน 4 กลุ่มแรก ให้ออกมาเป็นผลงานของพนักงานกลุ่มที่ 5 จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ถ้าเขาไม่มีความสามารถในการมองภาพรวม ทั้งในแนวกว้างและแนวลึกพร้อมๆ กัน แล้วทำให้มันเกิดมาเป็นภาพรวมใน 3 มิติได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีทิศทางที่ชัดเจนถูกต้อง แล้วเราต้องทำอย่างไรบ้างในการบริหารจัดการคนเก่ง ๆ เหล่านี้ มาดูกัน สิ่งที่ต้องทำคือ

✍แยกพนักงานทั้งหมดให้ออกเป็นคนเก่ง 5 ประเภทให้ได้
- ใครที่เก่งแบบทำคนเดียว
- ใครที่เก่งในการลงมือทำ
- ใครที่เก่งในการประสานงาน
- ใครที่เก่งในการคิด
- ใครที่เก่งในเรื่องของการรวบรวมทั้งหมดให้ตกผลึกเป็นแผนงานรวมให้ได้
จัดแบ่งงานให้ตรงกับคนเก่งของแต่ละคน ให้เขาทำงานในสิ่งที่เขาถนัดอย่างแท้จริง
📚จัดการฝึกอบรมในส่วนที่คนเก่งแต่ละคนไม่ถนัด เช่น คนที่เก่งทำงานคนเดียว เราก็ต้องจัดอบรมการทำงานเป็นทีมให้เขา เพื่อให้เข้าใจว่า คนที่สามารถทำงานเป็นทีมได้ แม้ความสามารถอาจไม่ได้มากสูงขนาดนั้น แต่เขาคิดอย่างไร เขาทำอย่างไร จึงสำเร็จได้ หรือคนที่ลงมือทำเก่งแต่วางแผนไม่เก่ง ก็จัดการฝึกอบรมให้รู้จักวางแผนที่ดี เมื่อเราทำสิ่งนี้ได้แล้ว จะทำให้คนเก่งๆ แต่ละประเภทที่มีจุดอ่อนหรือจุดที่ตนเองไม่ถนัดในเรื่องอื่นๆนั้น ได้เรียนรู้ เข้าใจในความเก่งของคนเก่ง ๆ ประเภทอื่น และเสริมจุดอ่อนของเขาให้กลายเป็นจุดแข็งที่เพิ่มขึ้นมาได้ในอนาคตได้
💎ประเมินผลงานร่วมกันแบบทีมรวม 5 คนเก่ง เพื่อให้ทุกคน ได้เรียนรู้ภาพรวม และได้ศึกษาซึ่งกันและกัน เช่น คนที่เก่งเรื่องของการวางแผน ก็จะได้ศึกษาจากคนที่เก่งเรื่องของการลงมือทำว่า วิธีการของเขาเป็นอย่างไร เขาถึงได้เก่งในเรื่องนั้น หรือคนที่เก่งในเรื่องการประสานงานก็จะได้เรียนรู้เรื่องของความเก่งของคนที่ทำคนเดียวว่าเขาทำอย่างไร
สิ่งเหล่านี้จะทำให้ 5 คนเก่งได้เรียนรู้อีก 4 เรื่องที่คนเก่งคนอื่นๆ เขาทำได้ แต่เราทำไม่ได้แล้วในที่สุด 5 คนเก่งในกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ ก็จะมีความเก่งเพิ่มขึ้นในอีก 4 ส่วนที่เขาไม่เคยทำมาก่อนหรือไม่เคยมีความเก่งมาก่อน ทำให้ค่าเฉลี่ยความเก่งของเขามีครบในทุกมิติและสมบูรณ์แบบที่สุดในรูปแบบที่เขาเป็นตัวตนของเขาเอง
หากเราสามารถจัดการบริหารพนักงานเก่งๆแบบนี้ได้ เราจะมีคนเก่งเพิ่มขึ้นอีก 5 เท่าตัว เพราะ เมื่อคนเก่งที่เก่ง 1 อย่าง สามารถเรียนรู้ความเก่งของอีก 4 คนได้ นั่นหมายความว่า เขาสามารถจะไปขยายความเก่งของเขาให้กับคนอื่นได้เช่นกันในอนาคต มันจะเป็นวิธีการเพิ่มคนเก่งให้กับบริษัททั้งบริษัทได้ ทำให้ค่าเฉลี่ยของความเก่งของพนักงานในบริษัทสูงขึ้น ประสิทธิภาพในการทำงานในภาพรวมมีแต่จะดีขึ้นแน่นอน เพราะเมื่อมีคนเก่งที่มีค่าเฉลี่ยความเก่งสูงขึ้น งานก็ต้องมีคุณภาพ ประสิทธิภาพมากขึ้นตามมา