28เม.ย.

ลูกจ้างไม่ทำงานล่วงเวลาตามคำสั่งถือว่าละทิ้งงานไหม

เรื่องของการทำงานล่วงเวลา เป็นสิทธิ์ของลูกจ้างที่จะยินยอมตกลงที่จะทำงานล่วงเวลาให้กับนายจ้างเป็นครั้งๆ ไปตามกฎหมายแรงงานกำหนดทั้งนี้กฎหมายแรงงานได้วางมาตรการไว้ว่า

1. จำนวนชั่วโมงการทำงานในแต่ละสัปดาห์

การทำงานในแต่ละสัปดาห์ ควรทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน และภายใน 5 ชั่วโมงแรกของการทำงาน ต้องมีเวลาพักไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง โดยอาจแบ่งเวลาพักเป็นครั้งละไม่น้อยกว่า 20 นาที แต่เวลาพักโดยรวมต้องไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง

2. จำนวนชั่วโมงการทำงานที่เสี่ยงอันตรายในแต่ละสัปดาห์

ในกรณีที่งานที่ทำเป็นงานที่เสี่ยงอันตรายจะต้องมีจำนวนชั่วโมงปกติ ไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือไม่เกิน 42 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

3. อัตราค่าจ้างในการทำงานล่วงเวลาจะจะกำหนดไว้ดังต่อไปนี้ 

3.1 ค่าล่วงเวลา (OT) ของวันทำงานปกติ และค่าทำงานในวันหยุด ได้รับไม่น้อยกว่า 1.5 เท่า ของอัตราค่าจ้าง / ชั่วโมง ตามมาตรา 61

3.2   ทำงานในวันหยุดในเวลาปกติ ได้รับไม่น้อยกว่า 1 เท่า ของอัตราค่าจ้าง / ชั่วโมง กรณีที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดนั้นอยู่แล้ว

3.3   กรณีวันหยุดทีไม่ได้รับค่าจ้างจะได้รับเพิ่มเป็น 2 เท่า ของค่าจ้างในวันทำงาน

3.4   ทำงานล่วงเวลาในวันหยุด ได้รับไม่น้อยกว่า 3 เท่า ของอัตราค่าจ้าง / ชั่วโมง

3.5   ลูกจ้างทั้งชายและหญิง มีสิทธิได้รับค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดเท่าเทียมกัน ในงานที่มีลักษณะและคุณภาพอย่างเดียวกันและปริมาณเท่ากัน

4. นายจ้างมีสิทธิ์บังคับให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาไหม?

นายจ้างไม่มีสิทธิ์บังคับให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้ เว้นแต่ได้รับการยินยอมจากลูกจ้างเป็นรายกรณี ยกเว้นงานนั้นเป็นงานที่ต้องทำต่อเนื่องถ้าหยุดจะเกิดความเสียหายหรือและเป็นกรณีฉุกเฉิน

💬นายจ้างสามารถให้ลูกจ้างทำงานทำงานล่วงเวลาได้ภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้ 

1. ลักษณะงานที่ถือว่าเป็นงานที่ต้องทำต่อเนื่อง

ลักษณะงานที่ถือว่าเป็นงานที่ต้องทำต่อเนื่องหากไม่กระทำล่วงเวลาแล้วทำให้งานเสียหาย ซึ่งงานลักษณะแบบนี้นายจ้างสามารถสั่งให้พนักงานทำงานล่วงเวลาได้ เช่น มีการผสมปูนเสร็จแล้ว แต่ถึงเวลาเลิกงานพอดี หากไม่เทปูนให้เสร็จสิ้นภายในเวลาที่กำหนด จะทำให้เกิดความเสียหายกับงานทันที กรณีเช่นนี้ นายจ้างสามารถให้พนักงานทำงานล่วงเวลาได้เนื่องจากถือว่าหากหยุดงาน ไม่ทำงานล่วงเวลา จะเกิดความเสียหายซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้และไม่สามารถมาทำต่อได้ในวันถัดไป

2. ลักษณะงานที่ถือว่าเป็นงานฉุกเฉิน

ลักษณะงานที่ถือว่าเป็นงานฉุกเฉิน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ นายจ้างสามารถสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้ เช่น กรณีเกิดน้ำท่วมฉับพลันในเวลาที่ใกล้จะเลิกงาน ซึ่งต้องมีการขนย้ายสินค้าต่างๆ หรือขนย้ายเครื่องจักรต่างๆ ในที่สูงเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายจากการเกิดภาวะน้ำท่วม ทำให้เสียหายจนใช้งานต่อไม่ได้ ถือว่ากรณีเช่นนี้เป็นกรณีฉุกเฉินที่นายจ้างสามารถสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้

💬ลูกจ้างมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธไม่ทำงานล่วงเวลาให้กับนายจ้างได้ในกรณีต่อไปนี้

1. จำนวนชั่วโมงการทำงานเกินกว่ากฎหมายกำหนด

การสั่งให้ทำงานล่วงเวลามีจำนวนชั่วโมงทำงานสะสมรวมกันแล้วเกินกว่า 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าเป็นการทำงานล่วงเวลาที่เกินความเหมาะสม

การทำงานล่วงเวลายาวนานเกินไปจนทำให้สภาพร่างกายไม่สามารถที่จะทนไหว เช่น การให้พนักงานรักษาความปลอดภัย ควงกะการทำงานเกินกว่า 2 รอบการทำงาน ซึ่งไม่สามารถที่จะทำงานต่อไปได้ เนื่องจากไม่ได้รับการพักผ่อนในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง อันเป็นผลเสียต่อสุขภาพร่างกายอย่างชัดเจน 

2. การทำงานอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงเกินไป เช่น 

  • การทำงานเบา ในสภาวะแวดล้อมที่อุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่า 34 องศาเซลเซียส
  • การทำงานปานกลาง ในสภาวะแวดล้อมที่อุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่า 32 องศาเซลเซียส
  • การทำงานหนัก  ในสภาวะแวดล้อมที่อุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส

3. การทำงานอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่มีเสียงดังเกินไป

ในสถานประกอบกิจการซึ่งมีระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทำงาน 8 ชั่วโมง ตั้งแต่ 85 เดซิเบล(เอ) ขึ้นไป ลูกจ้างมีสิทธิ์ปฏิเสธไม่ทำงานล่วงเวลาต่อเนื่องอีก เนื่องจากจะเป็นผลอันตรายต่อสภาพร่างกาย ซึ่งมีเกณฑ์พื้นฐานในการพิจารณาดังต่อไปนี้ 

  • ได้รับเสียงไม่เกินวันละ 7 ชั่วโมง ต้องมีระดับเสียงติดต่อกันไม่เกิน 91 เดซิเบล(เอ)
  • ได้รับเสียงวันละ 7-8 ชั่วโมง ต้องมีระดับเสียง ติดต่อกันไม่เกิน 90 เดซิเบล(เอ)
  • ได้รับเสียงเกินวันละ 8 ชั่วโมง ต้องมีระดับเสียง ติดต่อกันไม่เกิน 80 เดซิเบล(เอ)
  • นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในที่ ๆ มีระดับเสียงเกิน 140 เดซิเบล(เอ) ไม่ได้

องค์การอนามัยโลกได้กำหนดว่าระดับเสียงที่ดังเกินกว่า 85 เดซิเบล(เอ) ถือว่าเป็นอันตรายต่อมนุษย์

4. แสงสว่างไม่เพียงพอ

นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในสถานที่ที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอเนื่องจากเป็นการทำงานในเวลากลางคืน และอยู่ในสถานที่ที่ไม่สามารถจัดให้มีแสงสว่างเพียงพอต่อการทำงาน ซึ่งสร้างความไม่ปลอดภัยในการทำงาน

5. ลูกจ้างไม่สามารถเดินทางกลับที่พักได้อย่างปลอดภัย

การทำงานล่วงเวลาโดยลูกจ้างไม่อยู่ในสภาวะที่ปลอดภัยในการเดินทางกลับที่พักหลังจากทำงานล่วงเวลาเสร็จแล้ว เช่น กรณีทำงานในไซต์งานที่อยู่ห่างไกลจากขนส่งมวลชน และไม่มียานพาหนะที่จะเดินทางกลับได้หลังจากเลิกงานแล้ว ซึ่งถือว่าสร้างความลำบากและเป็นอันตรายให้กับลูกจ้างหลังเลิกงาน

6. การทำงานล่วงเวลาอยู่ในสภาวะที่มีความเสี่ยงต่อชีวิต

การทำงานล่วงเวลาอยู่ในสภาวะที่มีความเสี่ยงต่อชีวิตอย่างชัดเจน เช่น กรณีที่ต้องทำงานในสถานที่อับอากาศเพียงลำพัง โดยไม่มีทีมงานคอยช่วยเหลือ หากเกิดผิดพลาดในการทำงานและไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้รอดพ้นจากสภาวะอันตรายนั้นได้

หรือว่าจะเป็นสภาวะการทำงานที่มีความเสี่ยงหรือไม่พร้อมทั้งเรื่องของอุปกรณ์ เครื่องมือ ขั้นตอนการทำงาน หรือทีมงาน ที่จะต้องทำงานร่วมกัน ไปจนถึงข้อแนะนำหรือแนวทางในการทำงานให้ปลอดภัย ลูกจ้างก็จะมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการทำงานล่วงเวลาได้ เนื่องจากเป็นการทำงานที่ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อชีวิตหรือทรัพย์สินของลูกจ้างหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายของลูกจ้าง ลูกจ้างจึงมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการทำงานล่วงเวลาได้ ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมายแรงงาน

7. งานที่ไม่เกี่ยวกับหน้าที่และความรู้ความสามารถ

การให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับหน้างานหรือหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรงเพื่อทำงานส่วนตัวของนายจ้าง การสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาจะต้องมีความชัดเจนว่ามีเหตุความจำเป็นอย่างแท้จริงมิใช่เป็นเหตุที่อ้างขึ้นมา

การสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในสิ่งที่ลูกจ้างไม่มีความรู้ความสามารถ และปราศจากคนที่คอยกำกับดูแล ให้ความช่วยเหลือในระหว่างการทำงาน ณ เวลานั้น ลูกจ้างย่อมมีสิทธิ์ที่จะปฎิเสธการทำงานล่วงเวลาได้ เนื่องจากมองเห็นชัดเจนแล้วว่าไม่สามารถทำงานนั้นให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ส่งผลให้การทำงานล่วงเวลาเกิดความล้มเหลวและอาจเป็นเหตุให้นายจ้างนำไปใช้เป็นข้ออ้างในการพิจารณาผลงาน ปรับเงินเดือน โบนัส หรือบีบให้ลาออก

8. ความเตรียมพร้อมทางร่างกายและแผนการทำงาน

ลูกจ้างอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถทำงานล่วงเวลาได้ เนื่องจากร่างกายอ่อนแอและมีความจำเป็นที่ต้องการการพักผ่อนอย่างเพียงพอ เช่น กรณีที่ลูกจ้างตั้งครรภ์ มีสภาวะร่างกายที่อ่อนแอและต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอ จึงไม่สามารถทำงานล่วงเวลาได้อันจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของแม่และเด็กในครรภ์

การสั่งให้ทำงานล่วงเวลาที่เป็นการสั่งที่กระชั้นชิดเกินไป จนลูกจ้างไม่สามารถที่จะเตรียมตัวทำงานได้ทัน และไม่พร้อมที่จะทำงานล่วงเวลาได้ทันที ตามที่นายจ้างกำหนด

9. การไม่กำหนดชั่วโมงการทำงานและไม่มีเอกสาร

การทำงานล่วงเวลาไม่มีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องใช้เวลาในการทำงานนานแค่ไหน และต้องการผลงานที่ออกมาเป็นอย่างไร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ในการจ่ายค่าจ้างและการคาดหวังผลการทำงานที่ไม่ชัดเจน อันจะนำมาซึ่งความขัดแย้งในการเบิกจ่ายค่าจ้างในการทำงานล่วงเวลาในอนาคต

การสั่งให้ทำงานล่วงเวลาโดยที่นายจ้างไม่ยอมเซ็นเอกสารยินยอมให้ทำงานล่วงเวลา เพื่อให้สามารถเบิกค่าจ้างได้ตามอัตราค่าจ้างในการทำงานร่วมเวลาตามที่กฎหมายกำหนด

10. นายจ้างยังค้างค่าจ้างล่วงเวลาในครั้งก่อน

การสั่งให้ทำงานล่วงเวลาโดยที่นายจ้าง ยังค้างค่าจ้างในการทำล่วงเวลาในครั้งก่อน หลังจากที่ได้ทำงานล่วงเวลาเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับค่าจ้างตามกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ ลูกจ้างจึงมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการทำงานร่วมเวลาเพิ่มเติมได้ เพื่อรักษาผลประโยชน์และสิทธิของตนเองในการได้รับค่าจ้างจากการทำงานล่วงเวลา