จบใหม่เลือกงานแรกยังไงดี? เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย Start-up vs บริษัทใหญ่

เมื่อจบการศึกษามาใหม่ ๆ หลายคนมักเผชิญกับคำถามสำคัญว่า ควรเริ่มต้นทำงานที่ไหนดี ระหว่างการเลือกทำงานกับ Start up หรือ บริษัทใหญ่ เพราะแต่ละประเภทองค์กรมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์การทำงาน รวมถึงโอกาสในการพัฒนาและเติบโตในสายอาชีพของคุณในอนาคต บทความนี้จึงถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณได้รู้จักข้อดีข้อเสียของการทำงานในทั้งสองรูปแบบองค์กร พร้อมทั้งแนะนำลักษณะบุคลิกและเป้าหมายของคนที่เหมาะกับแต่ละแบบ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกเส้นทางการทำงานได้อย่างมั่นใจและสอดคล้องกับความต้องการของตัวเองมากที่สุด
ทำความรู้จักกับ Start up และบริษัทใหญ่
– Start up คือบริษัทใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น โดยมักมีทีมงานขนาดเล็ก มีโครงสร้างองค์กรไม่ซับซ้อน และเน้นนวัตกรรมหรือการสร้างผลิตภัณฑ์/บริการใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากตลาดเดิม
– บริษัทใหญ่ คือองค์กรที่มีขนาดใหญ่ มีจำนวนพนักงานมาก มีระบบและโครงสร้างองค์กรชัดเจน รวมถึงมีกระบวนการทำงานที่มาตรฐานและเข้มงวดกว่า
ข้อดีและข้อเสียของการทำงานกับ Start up
ข้อดี

1. โอกาสเรียนรู้แบบรอบด้าน
ในสตาร์ทอัพ คุณอาจได้รับมอบหมายงานหลากหลายหน้าที่มากกว่าบริษัทใหญ่ ซึ่งช่วยให้คุณได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ทั้งด้านการตลาด การขาย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือการบริหารจัดการ
2. สภาพแวดล้อมทำงานที่ยืดหยุ่น
Start up มักมีวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้างและยืดหยุ่น เช่น การทำงานแบบ Remote หรือเวลางานที่ยืดหยุ่น เหมาะสำหรับคนที่ชอบความเป็นอิสระ
3. โอกาสเติบโตเร็ว
ถ้าคุณทำผลงานดี มีโอกาสเติบโตเป็นหัวหน้า หรือได้รับความรับผิดชอบมากขึ้นในเวลารวดเร็ว เพราะโครงสร้างองค์กรยังไม่ซับซ้อน
4.มีส่วนร่วมกับการตัดสินใจ
ในสตาร์ทอัพ พนักงานมักจะมีโอกาสได้มีส่วนร่วมในการเสนอไอเดียและแสดงความคิดเห็นอย่างจริงจัง เพราะองค์กรยังมีขนาดเล็กและต้องการความร่วมมือจากทุกคน การมีส่วนร่วมนี้ทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของทีมและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาองค์กร รวมถึงช่วยให้คุณได้ฝึกทักษะการสื่อสารและการทำงานร่วมกับผู้อื่นในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ข้อเสีย

1.ความไม่มั่นคงของงาน
Start-up ส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและอาจไม่มีฐานะการเงินที่มั่นคงเท่าบริษัทใหญ่ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะประสบปัญหาขาดทุนหรือแม้กระทั่งปิดกิจการได้ง่ายกว่า เมื่อเทียบกับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีระบบบริหารจัดการทางการเงินที่แข็งแกร่ง นี่อาจทำให้พนักงานต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในเรื่องของงานและรายได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนจบใหม่ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ
2.สวัสดิการและเงินเดือนที่อาจน้อยกว่า
เนื่องจาก Start up มีงบประมาณจำกัดและระบบบริหารทรัพยากรบุคคลที่ยังไม่ครบถ้วนเท่าบริษัทใหญ่ ทำให้เงินเดือนเริ่มต้นและสวัสดิการต่าง ๆ อาจน้อยกว่า เช่น ประกันสุขภาพ โบนัส หรือวันลาพักร้อนที่น้อยกว่า รวมถึงอาจไม่มีสวัสดิการเสริมอื่น ๆ ที่บริษัทใหญ่มีให้ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือสิทธิประโยชน์ทางการเงินอื่น ๆ ดังนั้นคนที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางการเงินและสวัสดิการ อาจรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นข้อจำกัดในการทำงานกับ Start up
3.แรงกดดันสูงและความท้าทายในการทำงาน
เพราะ Start up มักมีทีมงานขนาดเล็กและต้องรับผิดชอบงานหลายด้านพร้อมกัน พนักงานจึงต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และมีแรงกดดันสูงในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ การที่ต้องทำงานหลากหลายบทบาท อาจทำให้บางคนรู้สึกเหนื่อยล้าหรือเครียดจากภาระงานที่หนักและขาดความชัดเจนในหน้าที่การงาน ซึ่งอาจส่งผลต่อความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานได้
ข้อดีและข้อเสียของการทำงานกับบริษัทใหญ่
ข้อดี
1. ความมั่นคงและความน่าเชื่อถือ
บริษัทใหญ่ส่วนมากมีประวัติยาวนาน มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง ทำให้พนักงานรู้สึกมั่นใจเรื่องความมั่นคงของงานและรายได้
2. สวัสดิการครบถ้วน
บริษัทใหญ่มีระบบสวัสดิการที่ชัดเจน เช่น ประกันสุขภาพ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โบนัส รวมถึงโอกาสเข้าร่วมอบรมและพัฒนาทักษะ
– โครงสร้างองค์กรชัดเจน
การทำงานมีขั้นตอน มีระบบและแนวทางชัดเจน ทำให้เข้าใจหน้าที่และความรับผิดชอบของตนเองได้ดี
– โอกาสสร้างพาร์ทเนอร์
คุณจะได้พบปะผู้คนหลากหลาย ทั้งเพื่อนร่วมงานและลูกค้า ที่สามารถช่วยสร้างเครือข่ายอาชีพในอนาคต
ข้อเสีย
1. ความยืดหยุ่นน้อยกว่า
เวลาทำงาน รูปแบบงาน และขั้นตอนต่าง ๆ อาจเข้มงวด ทำให้บางคนรู้สึกติดกรอบ ไม่เหมาะกับคนที่ชอบความเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
2. ตำแหน่งงานชัดเจน แต่เลื่อนขั้นช้า
ในบริษัทใหญ่การเลื่อนตำแหน่งอาจใช้เวลานานกว่า และต้องผ่านหลายขั้นตอน
3. งานเฉพาะทาง
งานในบริษัทใหญ่มักเน้นหน้าที่เฉพาะทางมากกว่า ทำให้อาจไม่ได้สัมผัสงานหลากหลายเหมือนในสตาร์ทอัพ
ใครเหมาะกับ Start up?

– คนที่ชอบความท้าทายและอยากเรียนรู้เร็ว
– คนที่ชอบทำงานหลากหลาย ไม่อยากถูกจำกัดบทบาท
– คนที่มีใจรักนวัตกรรมและการสร้างสิ่งใหม่ ๆ
– คนที่ยอมรับความเสี่ยง และอยากเติบโตอย่างรวดเร็ว
– คนที่ชอบบรรยากาศทำงานแบบไม่เป็นทางการและยืดหยุ่น
ใครเหมาะกับบริษัทใหญ่?

– คนที่ต้องการความมั่นคงและรายได้ที่แน่นอน
– คนที่ชอบทำงานในระบบที่มีระเบียบและชัดเจน
– คนที่ต้องการสวัสดิการและโอกาสฝึกอบรมอย่างเป็นระบบ
– คนที่ไม่ชอบความเสี่ยงสูง และวัฒนธรรมในองค์กรใหญ่
– คนที่ชอบงานที่มีหน้าที่ชัดเจนและเน้นทักษะเฉพาะทาง
วิธีเลือกงานที่เหมาะกับตัวเอง
1.ประเมินเป้าหมายในอาชีพของคุณให้ชัดเจน

ก่อนเลือกทำงาน คุณควรคิดให้ชัดว่าต้องการอะไรในอาชีพของตัวเองในระยะสั้นและระยะยาว เช่น ถ้าคุณอยากเรียนรู้ทักษะและลองงานหลายอย่าง อาจเหมาะกับ Start up ที่เปิดโอกาสให้ทำงานหลากหลาย แต่ถ้าคุณเน้นความมั่นคง มีรายได้แน่นอน และวางแผนจะอยู่ในองค์กรระยะยาว บริษัทใหญ่จะตอบโจทย์มากกว่า การรู้เป้าหมายช่วยให้คุณเลือกงานที่สอดคล้องกับความต้องการและไม่เสียเวลาเปลี่ยนงานบ่อย ๆ
2.สำรวจสภาพแวดล้อมการทำงานที่คุณชอบ

สภาพแวดล้อมการทำงานมีผลต่อความสุขและประสิทธิภาพในการทำงาน หากคุณชอบความยืดหยุ่น เช่น เวลาทำงานที่ไม่ตายตัว หรือบรรยากาศเป็นกันเอง การทำงานใน Start up อาจเหมาะกับคุณ แต่ถ้าคุณชอบระบบระเบียบ กฎเกณฑ์ชัดเจน และความมั่นคงในการทำงาน บริษัทใหญ่จะตอบโจทย์สไตล์ของคุณได้ดีกว่า การเลือกสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมช่วยให้คุณรู้สึกพึงพอใจและอยากทำงานต่อเนื่อง
3.ประเมินความเสี่ยงที่คุณพร้อมรับได้

การทำงานกับ Start up อาจมีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะสตาร์ทอัพส่วนใหญ่ยังไม่มั่นคง อาจเจอปัญหาทางการเงินหรือปิดกิจการได้ แต่จะมีโอกาสเติบโตและเรียนรู้เร็วกว่า ในขณะที่บริษัทใหญ่มีความมั่นคงสูงและเสถียรกว่า แต่บางครั้งอาจไม่มีความยืดหยุ่นหรือโอกาสเติบโตเร็ว การรู้ว่าคุณพร้อมรับความเสี่ยงระดับไหนจะช่วยให้ตัดสินใจได้เหมาะสมกับตัวเอง
4.ลองฝึกงานหรือเข้าร่วมโครงการทดลองทำงานจริง
การได้สัมผัสประสบการณ์จริงจากการฝึกงานหรือโครงการต่าง ๆ จะช่วยให้คุณรู้ว่าบรรยากาศการทำงานแบบไหนเหมาะกับคุณมากที่สุด คุณจะได้รู้ทั้งวัฒนธรรมองค์กร รูปแบบการทำงาน และทักษะที่ต้องใช้ ซึ่งจะช่วยลดความกังวลก่อนเริ่มทำงานจริง และช่วยให้ตัดสินใจเลือกองค์กรที่ตรงกับความชอบและเป้าหมายได้ดีขึ้น
สรุป
การเลือกทำงานหลังจบใหม่ไม่ได้มีคำตอบตายตัวว่าจะต้องเริ่มจากบริษัทใหญ่หรือสตาร์ทอัพ เพราะแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียไม่เหมือนกัน สิ่งสำคัญคือการรู้จักตัวเองและตั้งเป้าหมายอาชีพอย่างชัดเจน จากนั้นจึงเลือกองค์กรที่สอดคล้องกับความต้องการของตัวเองมากที่สุด
ถ้าคุณชอบความท้าทาย เรียนรู้เร็ว และไม่กลัวความเสี่ยง Start up คือทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ถ้าต้องการความมั่นคง ระบบสวัสดิการดี และบรรยากาศเป็นระเบียบ บริษัทใหญ่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เหมาะสม
ไม่ว่าจะเลือกแบบไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อเติบโตในสายอาชีพอย่างมั่นคงและยั่งยืน