ถ้าบริษัทไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเราควรทำอย่างไร?
สิ่งแรกที่เราจะต้องรู้ก่อนก็คือเป้าหมายของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ต้องการให้พนักงานออมเงิน โดยประมาณไม่เกิน 15% ของเงินเดือน โดยที่บริษัทจะสมทบให้ตามนโยบายของบริษัท ซึ่งอาจจะเป็น 3% 5% หรือกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วแต่บริษัทจะกำหนดนโยบายมาให้ เป้าหมายในการกำหนดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็คือ

1. ทำให้พนักงานออมเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
อย่างน้อย 10-15% และบริษัทสมทบมาอีกบางส่วนตามนโยบาย ทำให้พนักงาน จะมีเงินเก็บ 15-20% ได้ เมื่อรวมกันทั้งสองก้อนแล้วตามนโยบายหรือขอบเขตเวลาที่บริษัทกำหนด ซึ่งการออมเงิน 15-20% ต่อปี เมื่อผ่านไป 5 ปี พนักงานก็จะมีโอกาสออมเงินได้ 100% หรือถ้าผ่านไป 10 ปีก็จะสามารถออมเงินได้ถึง 200% จะเป็นผลดีกับพนักงานในกรณีที่เกษียณอายุหรือออกจากงานแล้วจำเป็นต้องใช้เงินก้อนบางส่วน ก็จะมีเงินก้อนส่วนนี้ ไปใช้จ่ายในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ในช่วงเวลาหนึ่ง
2. เป็นการฝึกนิสัยให้พนักงาน
ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในสิ่งที่ไม่จำเป็น เนื่องจากปัจจุบันนี้ พนักงานมีการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และอาจจะมีค่าใช้จ่ายบางส่วนซึ่งไม่จำเป็น เนื่องมาจากเป็นการซื้อสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดประโยชน์ หรือ ซื้อสิ่งที่มีราคาสูงเกินความจำเป็น ทำให้เกิดการสิ้นเปลือง และไม่ได้ใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์เหล่านั้นอย่างเต็มที่ไม่ ว่าจะเป็นมือถือ คอมพิวเตอร์ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจทำให้พนักงานเข้าสู่สภาวะของฟุ่มเฟือยโดยที่ไม่เกิดประโยชน์คุ้มค่าอันควร ดังนั้น การมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จึงเป็นการบังคับให้พนักงาน หักเงินบางส่วนออกมาทำให้ไม่สามารถมีเงินที่จะเหลือมากพอที่จะฟุ่มเฟือย และเป็นผลดีกับพนักงานในระยะยาวอย่างแท้จริง
3. เป็นการรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กร
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็มีวัตถุประสงค์เพื่อจะให้พนักงานอยู่กับบริษัทไปอีกนานแสนนาน จึงมักจะมีการกำหนดนโยบายว่า ต้องอยู่กี่ปีถึงจะได้กี่เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นพนักงานจะตั้งใจทำงาน ตั้งใจอดออม และอยู่กับบริษัทไปอีกนาน เท่าที่พนักงานยังมีความสุขในการทำงานซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่ได้พนักงานที่มีความซื่อสัตย์กับบริษัท ตั้งใจทำงาน พัฒนาตนเองอยู่เสมอ และตัวพนักงานเอง ก็มีงานที่มั่นคงและได้รับผลตอบแทนมากขึ้นตามกำหนดเวลาที่อยู่มานานกับบริษัท ซึ่งเป็นสิ่งต่างตอบแทนที่มีค่ากับทั้งสองฝ่าย

แต่หากทางบริษัทของเรา ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เราควรทำอย่างไร สิ่งที่เราควรทำไม่แตกต่างกัน ก็คือ
1. ออมเงิน
ควรจะกำหนดมาตรฐานตัวเองเอาไว้เลยว่า เราจะต้องออมเงินไว้อย่างน้อย 5 – 15% ของแต่ละเดือน เพื่อให้เรามีเงินสำรองไว้ กรณีที่เกิดการตกงานกระทันหัน หรือมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงินกะทันหัน ก็จะเป็นเงินส่วนหนึ่งที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในระยะเวลาสั้นและรวดเร็ว
2. กำหนดค่าใช้จ่ายประจำ
กำหนดให้ชัดเจนว่าค่าใช้จ่ายใดบ้างที่จำเป็นหลีกเลี่ยงไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือการผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ต้องกำหนดให้ไม่เกิน 40% ของเงินเดือน หรือจะเป็นไปได้ควรกำหนดไว้อยู่ที่เพียงแค่ไม่เกิน 25% – 30% ของเงินเดือน เพื่อให้สามารถมีส่วนต่างอีก 15% – 20% ของเงินเดือน เก็บเป็นเงินออมและเป็นวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็น เพราะมีความเข้าใจว่ายังมีเงินเหลืออยู่บางส่วนที่จะใช้ในความฟุ่มเฟือยได้แต่หากเราเก็บเงินตัวนี้ขึ้นมา 10 – 15% แนะนำให้ไปฝากประจำไว้ โดยไม่สามารถถอนได้ใน ระยะเวลาช่วงหนึ่งจะบังคับให้เราเก็บเงินได้แน่นอน
3. ลงทุน
เงินที่เก็บได้ ถ้าสามารถนำไปลงทุนในช่องทางใดที่ไม่มีความเสี่ยงมากนัก แต่ได้ผลตอบแทนมากกว่าการฝากเงินธนาคารอย่างเดียว หรือได้ผลตอบแทน อย่างน้อย 3% – 5% ก็จะสามารถทำให้เงินงอกเงยได้ไม่ต่างจากการมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัท เพราะเราสามารถได้ผลตอบแทนจากเงินของเรา รวมไปถึงเงินที่ได้จากผลตอบแทนจากภายนอกจากการลงทุน แต่ต้องพิจารณาให้ดีว่าการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใดเพราะผลตอบแทนที่จะได้มานั้น จะแปรผันกับความเสี่ยงถ้าความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนก็สูง แต่อาจจะเกิดความเสียหายสูงเช่นกันจึงต้องพิจารณาให้ดี
4. ชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง
ออมเงินให้มากขึ้นในแต่ละเดือน แล้วนำส่วนนั้นไปชำระภาระหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสูงสุดให้มากกว่าอัตราปกติที่เราทำไว้ เพื่อให้ภาระดอกเบี้ยลดลงอย่างรวดเร็วในระยะยาว มิฉะนั้น เราจะจ่ายดอกเบี้ยนานเกินไป และทำให้เราหมดกำลังในการที่จะไปทำสิ่งอื่นในอนาคตได้ เนื่องจาก ดอกเบี้ย คือ ตัวที่เป็นภาระผูกพัน และทำร้ายให้เราอ่อนแรง ดังนั้น ถ้าไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เราก็ต้องเก็บเงินให้ได้เหมือนกับมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และรีบนำไปใช้จ่ายในหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสูงสุดก่อน ให้เร็วที่สุด การทำเช่นนี้ ก็เป็นการสร้างผลตอบแทนอย่างหนึ่ง แต่เป็นการสร้างผลตอบแทน ในลักษณะของการลดความเสียหายจากภาระดอกเบี้ย ก็เทียบกับการทำกำไรจากการมีเงินสดในมือและไปลงทุนให้กิจการงอกเงย

5. วางแผนเกษียณ
วางแผนเกษียณให้ดีว่า เราต้องมีเงินใช้เท่าไหร่ตอนที่เราเกษียณหรือ จะต้องนำเงินเหล่านี้ไปลงทุนสำหรับเตรียมตัวเกษียณอย่างไรเช่น ไปซื้อที่ดินไว้บางส่วน เพื่อไว้ใช้ทำเกษตรในยามเกษียณ และอาจจะไม่ได้มีเงินมากนัก จากผลงานการทำงานของงานเกษตร แต่อย่างน้อยที่สุด เราก็มี ที่ดินทำกินและสามารถผลิตอาหารได้เอง ซึ่งช่วยให้เรา ลดค่าใช้จ่ายได้ แทนที่จะต้องไปทำงานเพื่อหาเงินแล้วมาซื้ออาหาร เราก็ผลิตอาหารเอง เป็นการลดขั้นตอนและลดค่าใช้จ่ายโดยที่เราก็ไม่ต้องเหนื่อยจนเกินไปในอนาคต เนื่องจากสภาพร่างกายของเราไม่แข็งแรงแล้ว การทำงานหนักจึงเป็นไปได้ยาก จึงต้องเป็นงานที่ไม่ยาก และไม่หนักจนเกินไป แต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกับการดำรงชีวิตอย่างชัดเจน คือ เรื่องของอาหารที่เป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าเราจะทำงาน หรือไม่ทำงาน อายุเท่าไร อาหาร คือ สิ่งที่จำเป็นในทุกเวลาของชีวิต
6. ลงทุนด้านการศึกษา
ออมเงินบางส่วน เพื่อใช้เป็นเงินลงทุน ในเรื่องของการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพิ่มทักษะต่างๆในการทำงาน ที่จะส่งผลโดยตรงกับหน้าที่การงาน และความก้าวหน้าในการทำงาน เช่น เราทำงานในเรื่องใดอยู่ เราก็เอาเงินที่ออมสิน 15% นี้ ไปลงทุนกับการฝึกอบรม หรือเรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อให้มีความสามารถ มีศักยภาพสูงขึ้นในการทำงานให้ดีขึ้นได้ และจะเป็นผลทำให้เราได้รับเงินเดือนที่สูงขึ้นในอนาคต หรือมีหน้าที่ตำแหน่งการงานที่ดีขึ้น หรือย้ายงานแล้วได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ก็เปรียบเสมือน เราก็ได้ผลตอบแทนจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนที่บริษัทให้ได้เช่นกัน แต่เป็นการได้มาทางอ้อม ด้วยการเพิ่มความสามารถ และนำความสามารถที่เพิ่มขึ้นนั้น ไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินส่วนเพิ่มได้ ในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นหรือการย้ายงาน แล้วได้เงินเกินที่สูงขึ้น ก็ถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งจากการออมที่คล้ายๆกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเช่นกัน

7. ลงทุนหุ้นหรือซื้อขายทองคำ
อาจจะเอาเงินออมบางส่วนไปลงทุนในเรื่องของหุ้น หรือการซื้อขายทองคำ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากกว่าเงินที่ฝากในธนาคาร ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับเราได้เทียบเท่ากับการมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และมีส่วนของบริษัทเพิ่มเติมให้ แต่ต้องยอมรับว่าการลงทุนมีความเสี่ยงต้องศึกษาให้ดี และลงทุนในสิ่งที่เรามั่นใจได้ว่าหากเกิดความผิดพลาดขึ้นไปแล้ว เราสามารถสูญเสียเงินก้อนนี้ไปได้โดยจะไม่ทำให้เราเดือดร้อน
8. ลงทุนด้านสุขภาพ
ออมเงินบางส่วนเอาไปใช้ลงทุน ในเรื่องของการดูแลสุขภาพให้ดีให้แข็งแรง เพราะเราเป็นพนักงานที่ต้องใช้แรงงาน เวลา และสมองของเราในการทำงาน เพื่อแลกกับค่าตอบแทนหรือผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ ดังนั้น เราจึงต้องมีสุขภาพที่แข็งแรง เพื่อให้เราสามารถทำงานได้ตลอดเวลาและต่อเนื่องยาวนานที่สุดเท่าที่สุขภาพเรายังทำงานได้อยู่ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราสุขภาพไม่ดี เราก็ไม่สามารถทำงานได้ซึ่งเราก็จะไม่ได้รายได้อีกต่อไป

