“ตกงานแบบไหน ให้รู้สึกปลอดภัย”
Job Security ไม่มีอยู่จริงในยุคนี้
ปัจจุบันความมั่นคงในงาน (Job Security) แทบไม่มีอยู่จริง เรามีโอกาสถูกเลิกจ้างได้ทุกเมื่อเพราะการแข่งขันสูงและการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจรวดเร็ว การเตรียมตัวล่วงหน้าคือสิ่งสำคัญเพื่อให้เมื่อวันนั้นมาถึงเราก็ยังมีความมั่นคงและความปลอดภัยทางการเงิน
💬วิธีเตรียมตัวให้พร้อมก่อนตกงาน
1. อย่าสร้างภาระการเงินใหม่
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปทุกสิ่งที่จะซื้อต้องซื้อด้วยเงินสดเท่านั้น ถ้าเก็บเงินสดไม่มากพอก็ไม่ควรซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นในการดำรงชีวิต หรือไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในการทำงานจริงๆ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์หรือสร้างผลประโยชน์จากการใช้สิ่งเหล่านั้น
- ซื้อของด้วยเงินสดเท่านั้น
- หลีกเลี่ยงการซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตหรือการทำงาน
- คิดก่อนซื้อว่าของชิ้นนั้นช่วยสร้างรายได้หรือไม่
2. ลดหนี้สินที่ดอกเบี้ยสูง
ลดภาระหนี้สินที่ผ่อนอยู่ในส่วนที่มีดอกเบี้ยสูงสุดให้เร็วที่สุด เพื่อลดอัตราการสูญเสียจากภาระดอกเบี้ยให้น้อยที่สุด ภาระดอกเบี้ย คือ ตัวที่บั่นทอนกำลังที่เราจะใช้เป็นทรัพยากรในการไปต่อยอดธุรกิจ หรือต่อยอดการทำสิ่งต่างๆ ที่จะสร้างผลตอบแทนในเชิงบวกกลับมา
- ชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงก่อน เช่น บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล
- การลดดอกเบี้ยคือการเพิ่มกำลังการเงิน เพื่อใช้ลงทุนหรือเป็นเงินสำรอง

3. ออมเงิน 15%-30% ต่อเดือน
ออมเงินให้ได้อย่างน้อย 15 ถึง 30 % ต่อเดือน หลังจากที่จ่ายภาระต่างๆหมดแล้ว นั่นหมายความว่า ต้องลองไปพิจารณาดูว่า มีค่าใช้จ่ายใดๆ บ้าง ที่เราไม่จำเป็นต้องจ่าย (นอกจากภาระผูกพันทางกฎหมาย เช่น สิ่งที่ต้องผ่อนต่างๆอันนี้ก็ต้องผ่อนไป) ให้ไปดูว่าค่าใช้จ่ายในบ้าน ที่เราใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในแต่ละเดือนโดยไม่จำเป็น หรือพูดง่ายๆ ว่าเราไม่จ่ายตรงนั้น ก็ไม่มีผลกับชีวิตเราในแง่ของการดำรงชีวิตต่ออย่างมีคุณภาพ อาจจะเป็นเพียงแค่มีผลต่อการสนองต่ออารมณ์หรือความต้องการในการใช้จ่ายกับสิ่งเหล่านั้นไป
ซึ่งถ้าเราไปคิดดูดีๆ อาจจะตกใจว่า มี 15 ถึง 30% กับค่าใช้จ่ายดังกล่าวที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน ที่ทำให้เราไม่มีเงินเหลือเก็บ การออมเงิน 15% ต่อเดือน เป็นเวลา 1 ปีจะทำให้เรามีเงินเก็บเท่ากับเงินเดือนของเรา 1.8 เดือนนั่นหมายความว่า ถ้าเราเก็บเงิน 15% ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี เราจะมีเงินเก็บสำรองได้ถึง 3.6 เดือน แล้วถ้าเราเก็บได้ถึง 30% ต่อเดือนเป็นเวลา 2 ปี เราจะมีเงินสำรองได้ถึงครึ่งปี นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำให้เราสามารถอยู่ต่อได้ก่อนที่จะได้งานใหม่
- หลังหักค่าใช้จ่าย ควรเหลือเงินเก็บอย่างน้อย 15%-30%
- ออม 15% ต่อเดือน → 2 ปีมีเงินสำรอง 3.6 เดือนของรายได้
- ออม 30% ต่อเดือน → 2 ปีมีเงินสำรองครึ่งปี

4. ทดลองหาอาชีพเสริม
ทดลองหาอาชีพเสริมที่สามารถทำได้ในช่วงเวลาที่เราต้องทำงานประจำอยู่ เช่น ในวันหยุดเราอาจจะหาอาชีพเสริม โดยการไปลองขายของที่ตลาดถ้าทำได้หรือเราไม่เหนื่อยจนเกินไป เราสามารถแบ่งเวลาไปทำธุรกิจเล็กๆน้อยๆ เพื่อเตรียมพร้อมหรือลองสนามดูว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรและได้ผลตอบแทนอย่างไร
สิ่งนี้จะเป็นพื้นฐานให้กับเราได้ใน 2 ปีข้างหน้า เมื่อวันหนึ่งเราต้องการจริงๆ เราก็สามารถออกมาทำธุรกิจนี้ได้ ซึ่งจะทำให้อัตราการสร้างรายได้อยู่ในระดับที่เพียงพอที่จะทำให้เราใช้เงินเก็บน้อยลง เพราะมีรายได้บางส่วนเข้ามาจึงทำให้ระยะเวลาที่เราจะทนการตกงานได้จาก 6 เดือน อาจจะกลายเป็น 1 ปี หรืออาจจะไม่ต้องใช้เงินเก็บก้อนนั้นเลย ถ้าหากว่าธุรกิจที่เราเตรียมพร้อมไว้สำรองสามารถสร้างรายได้ได้มากพอที่จะอยู่ได้ แม้อาจจะไม่มากเท่าเดิม เหมือนตอนที่เป็นพนักงานประจำ
- ใช้เวลาว่าง เช่น เสาร์-อาทิตย์ ลองทำธุรกิจเล็ก ๆ หรือขายของ
- การเตรียมธุรกิจสำรองไว้ล่วงหน้า 1-2 ปี ช่วยสร้างรายได้ทันทีเมื่อจำเป็นต้องออกจากงาน
5. ศึกษาธุรกิจที่ทำได้ด้วยตัวเอง
ช่วงนี้ยังทำงานอยู่ ให้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจต่างๆ ที่เป็นไปได้ภายใต้สภาวะหรือเงื่อนไขที่เราทำได้ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น เราต้องศึกษาหาธุรกิจมากมาย เพื่อทำความเข้าใจในตัวธุรกิจแต่ละอย่างที่เป็นเป้าหมายของเรา 3-4 อย่าง เพื่อตกผลึกให้ได้ว่า ภายใต้เวลากับเงินที่เรามีจำกัด เราจะพุ่งเป้าไปที่ธุรกิจตัวใดเป็นอันดับ 1 จาก 3-4 ธุรกิจที่เราศึกษามาตลอดเวลาอย่างละเอียด เพราะเรามีเวลาและมีเงินจำกัดแค่ครั้งเดียว ที่จะต้องยิงให้ถูกเป้า ดังนั้น การศึกษารายละเอียดอย่างจริงจังในระดับที่นำไปใช้งานได้จริงจึงเป็นสิ่งที่จะต้องทำในช่วงเวลาที่ยังทำงานประจำอยู่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการตกงาน
- เลือก 3-4 ธุรกิจที่สนใจและทำได้ภายใต้ข้อจำกัดของเวลาและเงินทุน
- ศึกษารายละเอียดให้ลึกเพื่อเลือกธุรกิจที่เหมาะที่สุด
6. หาที่ปรึกษาหรือหุ้นส่วนที่ไว้ใจได้
ปรึกษาหารือกับเพื่อนสนิท ที่อาจจะเป็นที่ปรึกษาที่ดีหรืออาจจะเป็นหุ้นส่วนที่ดีในอนาคต หากเราเริ่มทำธุรกิจตัวนั้นจริงๆ หรืออาจจะเป็นคนที่มี Connection ที่จะช่วยเราทำธุรกิจตัวนั้นได้ดีในอนาคต เพื่อให้เขาช่วยคิด ช่วยทบทวนแผนธุรกิจของเราว่า มีช่องโหว่ หรือมีสิ่งอะไรที่ต้องปรับปรุงมากกว่านั้นไหมก่อนจะนำไปใช้จริง
- พูดคุยกับเพื่อนหรือคนรู้จักที่สามารถให้คำแนะนำ หรือมี Connection ช่วยให้ธุรกิจไปได้ไกล
- ให้พวกเขาช่วยประเมินแผนธุรกิจของคุณ

7. เรียนรู้จากคู่แข่งและผู้นำตลาด
ศึกษาพัฒนาการของผู้นำในธุรกิจนั้นๆ หรือผู้ที่จะเป็นคู่แข่งของเราในธุรกิจนั้นๆ ว่า เขามีการดำเนินธุรกิจอย่างไร มีการพัฒนาการทำงานของเขา ปรับปรุงสินค้า ปรับปรุงบริการ ปรับปรุงการตลาด หรือปรับปรุงวิธีการทำงานของเขาอย่างไร ที่ทำให้เขามีการเติบโตขึ้น สิ่งนี้ คือ สิ่งที่เราจะต้องเผชิญหน้าอย่างแท้จริง ในวันที่เราก้าวเข้าสู่ธุรกิจตัวนี้ ในวันที่เราตกงานในฐานะผู้ตามที่เข้าสู่วงการใหม่ เราควรที่จะเรียนรู้ วิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม และมีโอกาสสำเร็จสูง มากกว่าการลองผิดลองถูก ซึ่งจะเป็นการลดเวลาที่เราจะก้าวสู่สภาวะที่เริ่มสร้างรายได้หรือมีรายได้ระดับหนึ่งไปจนถึงขั้นที่เริ่มมีรายได้เลี้ยงตัวได้ในเวลาที่สั้นที่สุด จากการเรียนรู้สิ่งที่คนที่ประสบความสำเร็จทำมาก่อน แทนการลองผิดลองถูกอยู่หลายปีกว่าจะเข้าเป้าได้ ซึ่งเราอาจจะอยู่ไม่ถึงวันนั้น เพราะเรามีเงินทุนจำกัดที่เราสะสมไว้ไม่มากพอ
- ศึกษาว่าเขาทำอย่างไรจึงเติบโต
- ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับจุดแข็งของคุณ แทนที่จะลองผิดลองถูก
8. เตรียมหานักลงทุนล่วงหน้า
พูดคุยปรึกษากับผู้ที่มีโอกาสจะเป็นนายทุนให้กับเราได้ ในกรณีที่ เราอาจจะตกงาน แล้วออกไปทำธุรกิจส่วนตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ล่วงหน้า 2 ปี 3 ปี เพราะว่า เรื่องเหล่านี้ ไม่สามารถจะพูดคุยกันได้ภายในวันสองวัน อาจจะต้องมีการพูดคุยกันยาวนานถึง 1 ปีหรือ 2 ปี เพราะมีรายละเอียดมากมายที่จะต้องทำ เพื่อเสนอแผนต่อการขอเงินทุน และเก็บรายละเอียดต่างๆระหว่างทาง ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพเงื่อนไขของการทำธุรกิจในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในยุคปัจจุบัน
ดังนั้น แผนธุรกิจ ที่มีการอัพเดทอยู่ตลอดเวลา ทั้งในแง่ของข้อมูลที่ทันสมัย และในแง่ของสภาพการแข่งขันที่เป็นจริงที่สุด จึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ ที่จะต้องทำให้ผู้ที่จะร่วมทุนหรือให้เงินทุนสนับสนุน มีความมั่นใจถึงความเป็นไปได้ที่จะให้เงินลงทุน
- ถ้าจะทำธุรกิจส่วนตัว ควรพูดคุยกับนักลงทุนอย่างน้อย 1-2 ปีก่อนเริ่มจริง
- อัพเดตแผนธุรกิจให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ร่วมลงทุน
📣สรุป 7 หลักสำคัญเพื่อความมั่นคงก่อนตกงาน
1. ออมให้ได้มากที่สุด
2. ตัดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
3. ลดหนี้ดอกเบี้ยสูง
4. ศึกษาและเตรียมความรู้
5. วิเคราะห์คู่แข่งอย่างลึกซึ้ง
6. เตรียมนักลงทุนล่วงหน้า
7. รักษาความซื่อสัตย์และทำความดี เพื่อสร้าง Connection และความน่าเชื่อถือ
❗อย่ารอให้ตกงานก่อนแล้วค่อยเตรียมตัว เริ่มสร้างความมั่นคงให้ตัวเองวันนี้ เพื่อให้ทุกสถานการณ์เป็นเพียงโอกาสใหม่ ไม่ใช่วิกฤต
🔍 ค้นหาโอกาสและงานใหม่ได้ที่ Orchidjobs.com