การเลือก Career Path
ในชีวิตการทำงานนั้นเราสามารถเลือก Career Path ได้กว้างๆ อย่างน้อย 3 แนวทาง
1. การเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือที่เรียกว่า Expertise
2. การเป็นผู้รอบรู้หรือที่เรียกว่า Generalist
3. การเป็นเจ้าของกิจการ หรือที่เรียกว่า Entrepreneur
1. หากเราต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่ง เราต้องวางแผนตั้งแต่ การเลือกสมัครเข้าทำงานในสายงานและบริษัทที่เรามีความคาดหวังว่า เราจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ ในอีก 5/10/20 ปีข้างหน้า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะการจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้นั้น มี 2 อย่างที่จะต้องประกอบกันเป็นอย่างน้อย คือการได้ลงมือทำสิ่งนั้นอย่างจริงจังในภาคปฏิบัติ และการสะสมประสบการณ์ที่ยาวนานอย่างต่อเนื่องในเรื่องเดียวกันตลอดไป จึงจะนำไปสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงได้ เพราะรู้ทั้งภาคปฏิบัติและมีประสบการณ์สะสมต่อเนื่องยาวนาน ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญได้อย่างแท้จริง เพราะจะสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้เฉพาะเรื่องนั้นอย่างชนิดที่เรียกว่า หาคนที่เปรียบเทียบได้ยาก
2. แต่หากเราเลือกที่จะเป็น ผู้ที่รอบรู้ในหลายๆเรื่อง นั่นหมายถึง เส้นทางชีวิตจะนำไปสู่การเป็นผู้บริหารในภาพรวม เราอาจจะไม่มีความสามารถเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ เนื่องจากการบริหารในภาพรวมนั้น หมายถึงเราต้องมีความรอบรู้ในหลายๆ ศาสตร์ ในหลากหลายประสบการณ์ เพื่อให้สามารถตกผลึกความรู้ในภาพรวมได้ ดังนั้นในเวลาที่มีอยู่จำกัดในช่วงชีวิตหนึ่ง ถ้าเราต้องเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย ที่เราจะเชี่ยวชาญไปทุกอย่าง อาจจะมีเพียง 1 อย่าง ที่เราอาจจะรู้ลึกกว่าในหลายๆ สิ่ง แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ
แต่ในมุมกลับกันเราจะเป็นผู้รอบรู้ในทุกสิ่ง ในขณะที่คนอื่นจะไม่รู้เหมือนเรา เราจะมองในภาพรวมได้ดี เราจะตกผลึกความรู้จากการสะสมความรู้ในศาสตร์ต่างๆ ผสมผสานให้ลงตัว กลายเป็นผู้ที่สามารถประสานงานเข้าใจและทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้อย่างราบรื่น และเข้าใจในแต่ละมิติของเรื่องที่ต้องมีความเชี่ยวชาญนั้นๆ ได้ไม่ยาก
3. หากเราต้องการเป็นเจ้าของกิจการ นั่นหมายความว่า เราอาจจะต้องมีความเชี่ยวชาญในบางอย่างและมีความรอบรู้ในหลายอย่าง เพื่อให้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นผู้ประกอบการหรือเป็นเจ้าของกิจการได้เพราะคนที่เป็นเจ้าของกิจการได้ ต้องทำเป็นทุกอย่างและต้องรู้จริงในสิ่งที่กำลังจะทำเป็นอาชีพหรือประกอบกิจการนั้นๆ แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องรอบรู้หลายๆ เรื่องเพราะต้องใช้ในการแก้ปัญหาทุกอย่างไปพร้อมๆ กัน
ผู้ประกอบการในช่วงระยะแรกนั้น มักจะไม่สามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีความรอบรู้มาเป็นลูกน้องได้ ดังนั้นผู้ที่จะเป็นผู้ประกอบการอย่างแท้จริง จึงต้องมีทั้งความเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้รอบรู้ในระดับหนึ่ง แต่จะไม่เทียบเท่ากับทั้งสองคนที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากผู้ประกอบการมีความจำเป็นที่จะต้องรอบรู้ทั้งสิ่งที่เป็นเชิง ความความชำนาญและความสามารถในการแก้ปัญหาพื้นฐานได้ ผู้ที่จะเป็นผู้ประกอบการได้ จึงต้องมีคุณสมบัติพิเศษกว่าทั้งสองคนในเบื้องต้น เพราะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองในช่วงแรก ยกเว้นผู้ประกอบการที่มีทุนหนา ที่สามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญและผู้รอบรู้มาพร้อมๆ กัน ในวันที่เริ่มต้นกิจการได้ อันนั้นถือว่าเป็นข้อยกเว้น แต่หากเป็นผู้ประกอบการที่ไม่ได้มีทุนหนานัก ย่อมหลีกหนีไม่พ้นที่จะต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง
สิ่งหนึ่งที่ ผู้วางแผน Career Path ของตัวเอง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการนั้น จะมีอยู่ 2 ลักษณะก็คือ
1. เริ่มเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่อายุยังน้อย เนื่องจากการประสบความสำเร็จในการเป็นผู้ประกอบการนั้น ต้องใช้เวลาอย่างเร็วที่สุด 5 ปี หรืออาจจะต้องถึง 10 ปี ถึงจะไปถึงจุดที่เรียกว่าเริ่มอยู่ได้อย่างมั่นคงระดับหนึ่ง ซึ่งสิ่งนี้ต้องใช้ทั้งความอดทนและระยะเวลาในกรณีที่ไม่มีเงินทุนหนา ดังนั้น ถ้าสามารถเริ่มได้ตั้งแต่หนุ่มๆ
ที่อายุยังน้อย จะมีข้อดี คือ ยังมีความแข็งแรง ยังมีพลังในการที่จะต่อสู้กับความยากลำบาก และยังไม่มีภาระอะไรมากนัก ต้นทุนก็ยังไม่สูงมาก เนื่องจากเงินเดือนยังน้อยอยู่ การได้เงินเดือนน้อยกับการไปเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่อายุยังน้อย ต้นทุนที่ต้องแลกเปลี่ยนจึงไม่มีความแตกต่างกันมากนัก อีกทั้งยังไม่มีเรื่องของภาระครอบครัวที่จะต้องดูแล เพราะหากเริ่มประกอบการตั้งแต่หนุ่มๆ ส่วนใหญ่ มักจะยังไม่ได้แต่งงานหรือมีครอบครัว จึงทำให้มีอิสระที่จะทุ่มเทในการทำงานและเสี่ยงกับผลลัพธ์ที่ตามมาในการเป็นผู้ประกอบการได้
2. หรืออาจจะเป็นผู้ประกอบการที่ ทำงานสะสมประสบการณ์ สะสมเงินทุนไป 10-15 ปีหรือ 20 ปี จนมีความมั่นใจในประสบการณ์ มองเห็นตลาดชัดเจน มีเงินทุนมี connection และมีความเชี่ยวชาญระดับหนึ่งในธุรกิจที่กำลังจะออกไปดำเนินการนั้น แต่การจะเป็นผู้ประกอบการในลักษณะนี้ได้ จะต้องมีความอดทนรอเวลาที่เหมาะสม และต้องค้นหาตัวเองให้พบตั้งแต่แรกว่า ต้องการจะเป็นเจ้าของธุรกิจประเภทใด เพราะนั่นหมายความว่า จะต้องเข้าไปเป็นลูกจ้างหรือพนักงานบริษัทในธุรกิจประเภทนั้นจนถึงเวลาอันเหมาะสม พร้อมทั้งเรื่องของเวลาความรู้ ความสามารถ เงินทุน และ Connection ต่างๆ จึงจะออกมาประกอบกิจการของตนเองได้อย่างราบรื่นพอสมควร ไม่ต้องล้มลุกคลุกคลานมาก เพราะได้สะสมสิ่งต่างๆ ไว้ล่วงหน้าแล้ว 15-20 ปี
เราจึงมักจะเห็นว่า บางครั้ง คนที่เป็นเซลล์แมนมา 15 20 ปี พอออกมาประกอบกิจการด้วยตนเองมักจะไปได้ดีและรวดเร็ว เพราะเขาได้สะสมประสบการณ์ในการขาย สะสมความรู้ในตัวสินค้าที่เขาต้องการจะขาย สะสม Connection ตลอดเวลา 20 ปี ที่เขาเป็นพนักงานขาย ในการเป็นลูกจ้างของบริษัทนั้นๆ และเมื่อเงินเงินทุนเขาพร้อม เขาก็สามารถเริ่มกิจการได้เลย โดยที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าคนที่เริ่มต้นจากศูนย์
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าเราอยากจะมี Career Path อย่างไรก็ตาม จะต้องมีความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองต้องการและมีการวางแผนล่วงหน้าตลอดเวลา ไม่ใช่ทำไปแบบไม่มีทิศทางชัดเจน ทำไปเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดนึง ที่เริ่มคิดจะจริงจังกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจจะทำให้เกิดการสูญเสียโอกาส หรือความไม่ต่อเนื่องในเรื่องของการพัฒนาตนเองไปในทิศทางที่ตนเองต้องการจริงๆ ในระยะยาว เช่น คนที่เปลี่ยนงานบ่อยๆ แล้วเปลี่ยนไปในสาขาที่ไม่เหมือนเดิมอาจจะทำให้มีความรู้สึกว่าได้ มีความรู้หลากหลาย เป็นผู้รอบรู้ Generalist ได้ แต่จะทำให้สูญเสียโอกาสในการกลายเป็น ผู้เชี่ยวชาญหรือ Export Test ได้ และสุดท้าย บางครั้ง เมื่อต้องการไปเป็นผู้ประกอบการก็ไม่มีความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์มากพอทั้งในเรื่องของภาพรวมหรือภาพลึก เนื่องจากขาดการวางแผนในเรื่องของธุรกิจที่ตัวเองอยากทำ จึงมีอาการลักษณะเหมือนว่าเดินไปทั่ว สุดท้ายได้ความรู้ แต่มันไม่ได้ส่งผลให้สามารถจะไปถึงจุดสูงสุดได้อย่างรวดเร็วตามที่มันควรจะเป็น
ถ้าต้องการที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือ Expertise สิ่งที่ควรจะต้องทำก็คือ
1. เลือกสายงานที่เราต้องการจะเป็นผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่แรกเริ่มที่เราเข้าทำงานในบริษัทนั้นๆ หมายถึง ต้องมีเป้าหมายชัดเจนในการสมัครงานให้ตรงกับเป้าหมายปลายทางที่เราต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนั้น เช่น ถ้าเราต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านงานก่อสร้าง เราก็ต้องเริ่มสมัครงานกับบริษัทรับเหมาก่อสร้าง และฝังตัวอยู่ในที่นั้นอย่างยาวนาน จนถึงวันที่เราไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงของเรา
2. ต้องมีความชัดเจนในเรื่องของหน้าที่การงานว่า เราต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไหน เช่น ถ้าต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ เพื่อเป้าหมายปลายทางไปสู่บริษัทที่ปรึกษา หรือเป็นที่ปรึกษาผู้มีความเชี่ยวชาญ เราต้องมีความชัดเจนว่า เราจะเป็นที่ปรึกษาผู้มีความเชี่ยวชาญในแง่ของการออกแบบ หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญในแง่ของการลงมือทำหน้างานอย่างแท้จริง
3. ต้องศึกษาหาความรู้อย่างต่อเนื่องและตรงเป้าหมาย หมายความว่า เราต้องรู้ว่าการจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น มีองค์ความรู้ใดบ้าง ที่ต้องประกอบกันในสาขาความรู้เฉพาะด้าน หมายความว่า ถ้าเราจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของการก่อสร้าง เราต้องวางแผนตั้งแต่แรกเลยว่า องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความสามารถในการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการควบคุมงานก่อสร้างนั้นมีอะไรบ้าง และเราต้องวางแผนศึกษาหาความรู้เฉพาะในส่วนเรื่องนี้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น หากไม่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เราไม่ควรไปเสียเวลาศึกษาหาความรู้ เพราะสุดท้ายเราอาจจะได้แค่รู้ แต่มันไม่นำไปสู่คำว่า ผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง ในเรื่องนั้นๆ
4. สิ่งสุดท้ายที่สำคัญที่สุด ก็คือ การใช้เวลาทำงานหนักในส่วนของงานที่เกี่ยวข้องกับความต้องการที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นอย่างจริงจัง ต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นทั่วไป เพื่อให้ชั่วโมงบินหรือประสบการณ์ที่สะสม มีมากกว่าคนอื่น 2 เท่า 3 เท่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นได้กรณีเดียว คือ ต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น ชั่วโมงการทำงานต้องมากกว่าคนอื่น จึงจะได้ประสบการณ์โดยตรงที่เหนือกว่าคนอื่น และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่แถวหน้าในที่สุด
ถ้าต้องการเป็นผู้ที่มีความรอบรู้เพื่อเป็นผู้บริหารในภาพรวมในอนาคต สิ่งที่จะต้องทำก็คือ
1. ต้องศึกษาหาความรู้ในส่วนต่างๆ ที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งพึงมี เช่น ต้องมีความรู้เรื่อง การตลาด ความรู้เรื่องการเงิน ความรู้เรื่องการบริหารบุคคล ความรู้เรื่องพื้นฐานการผลิต ความรู้พื้นฐานเรื่องของการควบคุมคุณภาพ ความรู้พื้นฐานด้านการขนส่ง ความรู้พื้นฐานด้านกฎหมาย และอีกหลายๆ อย่าง ที่บริษัทหนึ่งควรจะมีแผนกนั้นๆ อยู่ในบริษัท
แต่เนื่องจากเราต้องเรียนรู้มากมายขนาดนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเรียนรู้ทุกอย่างได้อย่างเชี่ยวชาญลึกซึ้งในแต่ละเรื่องที่กล่าวมา แต่อย่างน้อยที่สุด เราต้องมีความรู้พื้นฐานที่เพียงพอที่จะสามารถพูดคุยประสานงานทำความเข้าใจกับผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ ได้อย่างราบรื่น หมายความว่า ไม่ว่าเราจะต้องคุยกับการตลาด การเงิน การผลิต การควบคุมคุณภาพ การขนส่ง หรือแผนกใดก็ตาม เราต้องคุยภาษาเดียวกับเขาได้เพื่อให้เขาเข้าใจว่าเราต้องการอะไร และเราก็สามารถเข้าใจในเบื้องต้นในสิ่งที่เขาพยายามสื่อสารกับเรา ซึ่งสิ่งนี้ คือ คุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นผู้ที่รอบรู้ในการบริหารในภาพรวมขององค์กร
2. ต้องเป็นคนที่ศึกษาหาความรู้ด้านจิตวิทยาในการประสานงาน เพราะการเป็นผู้ที่รอบรู้ในการบริหารภาพรวมนั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่เราจะต้องประสานงานพบปะผู้คนตลอดเวลา หัวใจสำคัญของการทำงานให้สำเร็จ ก็คือ ต้องสามารถที่จะคาดเดาความคิดของคน รู้จักนิสัยของคน รู้จักวิธีการสื่อสารของคนแต่ละประเภทว่า คนประเภทนี้ เราต้องสื่อสารกับเขาอย่างไร เราต้องทำงานกับเขาอย่างไร เพื่อให้งานราบรื่น ซึ่งสิ่งนี้ มันจะไม่อยู่ในเรื่องของวิชาการใดๆ เลย แต่เป็นเรื่องของ ความเข้าใจในเรื่องของตัวบุคคล บุคลิกของคน วิธีคิดของคน ซึ่งเราต้องใช้ความสามารถอย่างมาก ในการโน้มน้าวประสานงานให้เขาทำสิ่งที่เราต้องการให้สำเร็จได้ในที่สุด ผ่านความสามารถหรือความเชี่ยวชาญที่เขามีอยู่
3. ต้องศึกษาหาความรู้ตลอดเวลาในสิ่งใหม่ๆ เนื่องจากการเป็นผู้บริหารในภาพรวม เราต้องอยู่กับสถานการณ์สิ่งแวดล้อม หรือปัจจัยต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา หากเราหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่หาความรู้ใหม่ๆ เราย่อมก้าวตามโลกไม่ทัน จะทำให้เราไม่สามารถที่จะนำพาบริษัทในภาพรวมให้แข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแข่งขันได้ทันเวลากับการเปลี่ยนแปลงของโลกตลอดเวลา
ถ้าต้องการเป็นผู้ประกอบการ สิ่งสำคัญที่เราจะต้องเตรียมตัวก็คือ
1. ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า เราต้องการประกอบกิจการประเภทใดกันแน่ เหตุผลในการประกอบกิจการนั้นเพื่ออะไร เพื่อความมั่งคั่ง เพื่อความร่ำรวย หรือ เพราะเป็นสิ่งที่เรารักและอยากจะทำในสิ่งนั้น เราต้องหาคำตอบนี้ให้เจอตั้งแต่วันแรกๆ ล่วงหน้า 5 ปี 10 ปี 20 ปี เพราะเมื่อเราเริ่มต้นเดินในธุรกิจใดแล้ว ต้องใช้ความอดทนสูงมากในการฝ่าฟันต่อสู้ เพื่อให้กิจการเริ่มตั้งตัวได้ในช่วง 5 ปี ถึง 10 ปีแรก ดังนั้นหากเราเลือกธุรกิจที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่ใช่ธุรกิจ ที่เราต้องการจะทำจริงๆ มันจะทำให้เราเสียเวลา กว่าจะค้นพบว่า ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการและล้มเหลว ซึ่งสิ่งที่มีค่าที่สุด คือ เวลา
2. ต้องเตรียมพร้อมทุกเรื่อง ทั้งเรื่องทุน ความรู้ Connection เพื่อให้ส่วนประกอบต่างๆ เหล่านี้ เป็นพื้นฐานรองรับสนับสนุนให้เราเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วที่สุด การที่จะเป็นผู้ก่อการที่ดีนั้น เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ที่จะต้องพบปะผู้คน ต้องเอาใจลูกค้า ต้องประสานงานกับทุกแผนกไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหรือ supplier หรือลูกน้อง หรือใครก็ตามที่จะมีส่วนสามารถช่วยให้กิจการเราประสบความสำเร็จและดำเนินต่อไปได้
ซึ่งสิ่งนี้จะนำมาซึ่งการใช้เวลาในชีวิตส่วนตัวไปกับการทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ ประสบความสำเร็จให้ได้ ดังนั้น ผู้ที่เลือกจะเป็นผู้ประกอบการ จึงต้องรู้ตั้งแต่วันแรกว่า เวลาในชีวิตมันจะหายไป ความเป็นอิสระมันจะหายไป เพราะมันมีสิ่งที่ต้องทำและต้องแลกกับเวลา และความอึดอัดใจในบางครั้ง หรือความเหนื่อยหน่อยในบางครั้ง ที่จะต้องทำในสิ่งที่เราอาจจะไม่ได้อยากทำมากนัก แต่มันจำเป็นต้องทำเพื่อให้กิจการมันเดินต่อไปได้ หรือมีโอกาสประสบความสำเร็จเร็วขึ้น นั่นหมายถึง การที่จะต้องเกี่ยวพันกับคนในทุกมิติในทุกสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจโดยตรง
3. ต้องเตรียมตัวเตรียมใจที่จะพบกับความล้มเหลว หรือความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ เพราะการดำเนินธุรกิจนั้น ต้องมีความเสี่ยงแน่นอน โอกาสสำเร็จก็มีเท่าๆ กับโอกาสที่จะไม่สำเร็จ แต่ถ้าไม่สำเร็จ ผลเสียที่จะตามมา ก็คือ การสูญเสียเวลา สูญเสียโอกาส สูญเสียเงินทุน และสูญเสียกำลังใจ ที่เกิดจากการทุ่มเทตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในวันที่เริ่มต้นจนมาถึงวันที่มันล้มเหลว หรือไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งสิ่งนี้ เกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ทำธุรกิจ
ดังนั้น คนที่เลือกจะทำธุรกิจของตนเองต้องทำความเข้าใจในข้อนี้ก่อนว่า ผ่านไป 5 ปี มันอาจจะสูญเปล่าเพราะทุกอย่างมันไม่สำเร็จตามที่คาดหวัง ต้องทำใจได้โดยเฉพาะในเรื่องของความรู้สึก แต่นอกเหนือจากนั้น มันมีเรื่องของเงินทุนที่สูญหายไป หรือแม้แต่ภาระหนี้สิน ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจที่ผิดพลาดและต้องรับผิดชอบชดใช้ ดังนั้น ผู้ที่จะเลิกเดินทางดำเนินธุรกิจต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ดีก่อน เพราะการทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องสนุกสนาน หรือเป็นเรื่องที่โลกสวยที่ทุกอย่างจะต้องสะดวกสบายง่ายดายอย่างที่คิด
สรุปคือ ไม่ว่าเราจะเลือก Career Path เป็นผู้เชี่ยวชาญ หรือเป็นผู้รอบรู้ในการบริหารภาพรวม หรือเป็นผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของกิจการของตนเอง สิ่งที่เราจะต้องรู้ตั้งแต่วันแรก ก็คือ ต้องค้นพบตัวเองให้ได้ว่าเราต้องการเป็นอะไรกันแน่ แล้วหลังจากนั้นก็จะเป็นรายละเอียดในสิ่งที่เราต้องทำระหว่างทาง ตั้งแต่วันแรกที่เราตัดสินใจไปถึง 5 ปี 10 ปี 20 ปีข้างหน้าที่เป็นปลายทางความฝันหรือความหวังหรือความต้องการของเราเพื่อให้ทุกอย่างเดินทางได้ถูกต้อง ถูกทุกทิศทาง ไม่เสียเวลาเปล่า ไม่สูญเสียโอกาส เพราะเดินหลงทาง